อธิบาย เฟรมเวิร์กการตลาด “AISAS Model” เหมาะใช้กับลูกค้ายุคนี้ ที่เซิร์ชก่อนซื้อ และแชร์หลังใช้

อธิบาย เฟรมเวิร์กการตลาด “AISAS Model” เหมาะใช้กับลูกค้ายุคนี้ ที่เซิร์ชก่อนซื้อ และแชร์หลังใช้

12 พ.ย. 2025
ถ้าพูดถึงโมเดลการตลาดพื้นฐาน ที่ใช้วางแผนกลยุทธ์ และการสื่อสารถึงลูกค้า หลายคนน่าจะนึกถึง AIDA Model ที่ใช้วางแผนการสื่อสารไปยังลูกค้า สำหรับพนักงานขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19
ก่อนที่ AIDA Model จะมีวิวัฒนาการ และถูกนำมาปรับใช้กับการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในช่วงหลัง
แต่จริง ๆ แล้ว รู้ไหมว่านอกจาก AIDA Model แล้ว ยังมีโมเดลการตลาดที่ใช้กับการตลาดออนไลน์ได้เหมาะสมกว่า นั่นก็คือ “AISAS Model” ที่คิดค้นขึ้นโดย Dentsu เอเจนซีโฆษณาที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์ระดับโลก เพื่อใช้สื่อสารถึงลูกค้าโดยเฉพาะ
แล้ว AISAS Model คืออะไร ? MarketThink จะอธิบายให้อ่านกันในโพสต์นี้
AISAS Model เป็นชื่อโมเดลที่มาจากตัวอักษรย่อในแต่ละองค์ประกอบ ซึ่งได้แก่ A - Attention, I - Interest, S - Search, A - Action และ S - Share
โดยจุดเด่นสำคัญที่สุดของ AISAS Model คือ เป็นโมเดลการตลาด ที่ออกแบบมาสำหรับการสื่อสารแบบ 2 ทาง (Two-Way Communication) ในยุคการตลาดออนไลน์ และการตลาดดิจิทัลโดยเฉพาะ
เพราะผู้บริโภคในยุคนี้ มักทำหน้าที่เป็นผู้รับสารและส่งสารในคนเดียวกัน เช่น เป็นทั้งผู้ค้นหาข้อมูล เพื่อรับสารจากแบรนด์
แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็เป็นผู้ส่งสารให้กับคนอื่น ๆ ไปพร้อมกัน เช่น โพสต์แนะนำ รีวิว บอกต่อ หรือแม้แต่ด่าแบรนด์ที่ตัวเองไม่ประทับใจ
โดยที่องค์ประกอบของ AISAS Model จะมีทั้งหมด 5 องค์ประกอบ ได้แก่
1. A - Attention
เป็นองค์ประกอบสุดคลาสสิกของทุกโมเดลการตลาด ที่ต้องเริ่มจากการสร้างการรับรู้ ในกลุ่มเป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก
ซึ่งในกรณีของ AISAS Model ก็เช่นเดียวกัน
โดยเป็นการทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้จัก หรือเริ่มทำความรู้จักกับแบรนด์ หรือสินค้าของแบรนด์ก่อนเป็นอันดับแรก ผ่านสื่อทุกประเภท
ไม่ว่าจะเป็น ทีวี วิทยุ ป้ายบิลบอร์ด หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ เว็บบอร์ด โซเชียลมีเดีย หรือได้รับการแนะนำมาจากคนรอบตัว
ตัวอย่างของกลยุทธ์ที่ทำได้ในขั้นตอนนี้ คือ
- การวิเคราะห์และทำความรู้จักตัวตนทั้งของแบรนด์ สินค้า และตัวตนของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเลือกใช้ประเภทของสื่อ และคอนเทนต์ให้มีความเหมาะสม
เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมาย รู้จักสินค้า และพร้อมที่จะเข้าสู่การตัดสินใจในขั้นตอนถัดไป
2. I - Interest
ขั้นตอนถัดไปคือ การเปลี่ยนจากการรู้จักสินค้าของแบรนด์ หรือมี Awareness ให้กลายเป็นมีความสนใจ (Interest) เพราะเพียงแค่รู้จักสินค้า ไม่ได้ทำให้กลุ่มเป้าหมายอยากซื้อสินค้า แต่ต้องมีความสนใจด้วย
ตัวอย่างของกลยุทธ์ที่ทำได้ในขั้นตอนนี้ เช่น
- การออกแบบสินค้าให้มีความโดดเด่น สะดุดตา
- การนำเสนอฟีเชอร์ ความสามารถเด่น ๆ ของสินค้าให้กลุ่มเป้าหมายสนใจ
- การนำเสนอว่าสินค้าของแบรนด์ แก้ไข Pain Point ที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร
- ใช้กลยุทธ์การสื่อสารต่าง ๆ เช่น Storytelling สร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ รวมถึงการทำคอนเทนต์ไวรัล และการใช้คำโฆษณา (Copy) ที่น่าดึงดูด
3. S - Search
หลังจากที่กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจในสินค้าของแบรนด์แล้ว สิ่งที่กลุ่มเป้าหมายจะทำในขั้นตอนถัดไปก็คือ การค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บไซต์ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อหาข้อมูลของสินค้าและแบรนด์ เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ
ตัวอย่างเช่น รีวิวใน YouTube, คลิปสั้นใน TikTok, เปรียบเทียบราคาระหว่างหน้าร้านกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือหาข้อมูลในกลุ่ม Facebook
ตัวอย่างของกลยุทธ์ที่ทำได้ในขั้นตอนนี้ คือ การทำอย่างไรก็ได้ให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาข้อมูลแล้วเจอแบรนด์ อยู่ในทุกช่องทาง เช่น
- การทำ SEO, SEM หรือ AEO เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเจอคอนเทนต์ของแบรนด์บนเซิร์ชเอนจิน
- จ้างอินฟลูเอนเซอร์ ทำคอนเทนต์รีวิวบน YouTube หรือทำคลิปสั้นบน TikTok
- ทำให้ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว อยากทำคอนเทนต์ออร์แกนิกของตัวเอง (User-Generated Content)
- ทำคอนเทนต์ของแบรนด์เองให้มีความน่าสนใจ เช่น โพสต์คอนเทนต์บน Facebook ตามเทรนด์ในช่วงนั้น
4. A - Action
หลังจากที่กลุ่มเป้าหมายหาข้อมูลของสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปก็คือ การตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นการเปลี่ยน “กลุ่มเป้าหมาย” ให้กลายเป็น “ลูกค้าตัวจริง”
หน้าที่ของแบรนด์ในขั้นตอนนี้ก็คือ การทำอย่างไรก็ได้ให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อโดยไม่ลังเล หรือเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าของคู่แข่ง
ตัวอย่างของกลยุทธ์ที่ทำได้ในขั้นตอนนี้ เช่น
- การเสนอคูปองส่วนลดเพิ่มเติมในหน้าก่อนการชำระเงิน
- การอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเป้าหมายซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เช่น ไม่ต้องกรอกข้อมูลเยอะ ๆ หรือการรองรับการชำระเงินหลายรูปแบบ
- ใช้คำโฆษณาที่กระตุ้นการตัดสินใจในขั้นสุดท้าย เช่น “ราคาพิเศษเฉพาะวันนี้” “หมดแล้วหมดเลย” หรือนับถอยหลังจำนวนสินค้าที่มีในสต๊อก ก็ได้เช่นกัน
5. S - Share
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของ AISAS Model หลังจากที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าไปแล้ว ในขั้นตอนนี้ลูกค้าจะทำการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับสินค้าและแบรนด์ให้กับคนอื่น ๆ ได้รับรู้
ทั้งความประทับใจ การใช้งานจริง ข้อดี ข้อเสีย สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ รวมถึงคำด่า ที่อาจแชร์เพื่อระบายความไม่ประทับใจ
ซึ่งหากลูกค้าคนใดเลือกแชร์ประสบการณ์ดี ๆ จากแบรนด์ให้คนอื่นได้รับรู้ ก็แสดงว่าลูกค้าคนนั้นมี Brand Loyalty สูง จนยอมเป็นกระบอกเสียงที่ช่วยโปรโมตแบรนด์ด้วยความเต็มใจ
และข้อมูลหรือประสบการณ์ที่ลูกค้าแชร์ไปนี้ ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายที่ยังอยู่ในขั้นตอนการ Search ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจซื้อ ทำให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วยิ่งขึ้น
ตัวอย่างของกลยุทธ์ที่ทำได้ในขั้นตอนนี้ เช่น
- การกระตุ้นให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้ว แชร์ความประทับใจของตัวเองที่มีต่อสินค้า ลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หรือให้คะแนน และรีวิวสินค้า ด้วยการให้รางวัลหรือสิทธิพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการกระตุ้น
ทั้งหมดนี้ก็คือ AISAS Model โมเดลการตลาด ที่ออกแบบมาสำหรับการสื่อสาร 2 ทาง สำหรับการตลาดออนไลน์ และการตลาดดิจิทัล
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.