
กรณีศึกษา การตลาดแบบรอบด้าน จากออฟไลน์สู่ออนไลน์
30 ธ.ค. 2020
เป็นที่รู้กันว่า ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบัน ได้ส่งผลให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเข้าหาแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ การก้าวเข้ามาทำการตลาดบนโลกออนไลน์ กลายมาเป็นเรื่องที่แบรนด์ต่างๆ ให้ความสำคัญเพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
เราจะเห็นได้จากธุรกิจและร้านค้า ที่มีลักษณะแบบออฟไลน์หลายเจ้า
ต่างก็พยายามเข้ามามีตัวตน บนโลกออนไลน์กันมากขึ้น
เพื่อเพิ่มช่องการสื่อสาร และการขาย ที่นอกเหนือไปจากการขายแบบหน้าร้านสาขา
และจะได้เป็นการเพิ่มโอกาสในการเจอกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าอีกด้วย
ต่างก็พยายามเข้ามามีตัวตน บนโลกออนไลน์กันมากขึ้น
เพื่อเพิ่มช่องการสื่อสาร และการขาย ที่นอกเหนือไปจากการขายแบบหน้าร้านสาขา
และจะได้เป็นการเพิ่มโอกาสในการเจอกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าอีกด้วย
อย่างไรก็ดี การที่จะทำการตลาดให้น่าสนใจและแตกต่างจากเจ้าอื่นๆ
การทำการตลาดบนโลกออนไลน์เพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่พอ
ทำให้หลายแบรนด์จึงมองหาวิธีการอื่นเข้ามาร่วมด้วย เพื่อที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นขึ้น
การทำการตลาดบนโลกออนไลน์เพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่พอ
ทำให้หลายแบรนด์จึงมองหาวิธีการอื่นเข้ามาร่วมด้วย เพื่อที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นขึ้น
เช่น การทำรายการรีวิวเอง การทำคอลแลบบอเรชันกับแบรนด์อื่นๆ,
การตกแต่งหน้าร้านให้มีกิมมิคเพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาเลือกซื้อ, การซื้อสื่อ OOH,
ไปจนถึงการจัดอีเวนต์ที่เป็นจุดให้คนได้มาถ่ายรูปและแชร์ต่อในโซเชียลมีเดีย
การตกแต่งหน้าร้านให้มีกิมมิคเพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาเลือกซื้อ, การซื้อสื่อ OOH,
ไปจนถึงการจัดอีเวนต์ที่เป็นจุดให้คนได้มาถ่ายรูปและแชร์ต่อในโซเชียลมีเดีย
ดังนั้น เราจึงเห็นว่า แม้ว่าการตลาดบนออนไลน์ กำลังมีอิทธิพลมากขึ้น
แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่า การทำการตลาดด้วยสื่อออฟไลน์แบบเดิมๆ นั้น
ก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ในโลกของความเป็นจริง..
แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่า การทำการตลาดด้วยสื่อออฟไลน์แบบเดิมๆ นั้น
ก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ในโลกของความเป็นจริง..
เราเรียกการที่แบรนด์ดังหลายแบรนด์ ซึ่งทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์
ก็ยังหันมาทำการตลาดแบบออฟไลน์
แบบนี้ว่า O2O Marketing (Online to Offline Marketing)
หรือ การทำการตลาดแบบผสมผสาน ระหว่างวิธีการทำการตลาดแบบดั้งเดิมในโลกออฟไลน์
กับการใช้เครื่องมือใหม่ๆ ในโลกออนไลน์
ก็ยังหันมาทำการตลาดแบบออฟไลน์
แบบนี้ว่า O2O Marketing (Online to Offline Marketing)
หรือ การทำการตลาดแบบผสมผสาน ระหว่างวิธีการทำการตลาดแบบดั้งเดิมในโลกออฟไลน์
กับการใช้เครื่องมือใหม่ๆ ในโลกออนไลน์
เพราะการเลือกที่จะทำการตลาดแค่แบบใดแบบหนึ่ง
ไม่สามารถทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในมิติชีวิตของกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งหมด
ไม่สามารถทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในมิติชีวิตของกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งหมด
โดยจะยกตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้วิธีกลยุทธ์การตลาดแบบนี้
นั่นคือ “Blockdit” คอนเทนต์แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ได้ปล่อยแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ การโฆษณาแอปพลิเคชันผ่านป้ายบิลบอร์ด
แล้วโยนไอเดียนั้นไปคุยต่อในโลกออนไลน์ ผ่านเพจดังในโซเชียลมีเดีย
นั่นคือ “Blockdit” คอนเทนต์แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ได้ปล่อยแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ การโฆษณาแอปพลิเคชันผ่านป้ายบิลบอร์ด
แล้วโยนไอเดียนั้นไปคุยต่อในโลกออนไลน์ ผ่านเพจดังในโซเชียลมีเดีย
โดยป้ายบิลบอร์ดที่ว่า จะอยู่ตามสถานที่หลักในกรุงเทพ
ข้อความในป้าย เป็นการพูดถึงความน่าสนใจของตัวแอปฯ ในประโยคสั้นๆ เน้นพูดถึงจุดเด่นหลักของแอปฯ ที่ต้องการสื่อกับผู้รับสารว่าเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างไอเดียใหม่ๆ
ข้อความในป้าย เป็นการพูดถึงความน่าสนใจของตัวแอปฯ ในประโยคสั้นๆ เน้นพูดถึงจุดเด่นหลักของแอปฯ ที่ต้องการสื่อกับผู้รับสารว่าเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างไอเดียใหม่ๆ
และด้วยความที่แต่ละป้าย อยู่ตามจุดต่างๆ ไม่ซ้ำกัน
แต่ละป้าย จึงโชว์คอนเซปต์ และเนื้อหาที่จับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน
แต่ละป้าย จึงโชว์คอนเซปต์ และเนื้อหาที่จับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน
เช่น ป้ายอยู่ที่ถนนสาทรเหนือ
“ถ้าอ่านข้อความนี้จบ 50 ครั้ง แปลว่ารถติดมาแล้ว 5 นาที”
“ถ้าอ่านข้อความนี้จบ 50 ครั้ง แปลว่ารถติดมาแล้ว 5 นาที”
ป้ายอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
“เราเสียอะไรบ้าง ก่อนจะมีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันนี้”
“เราเสียอะไรบ้าง ก่อนจะมีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันนี้”
ที่น่าสนใจ คือ หลังจากที่แต่ละข้อความขึ้นไปปรากฏบนป้ายบิลบอร์ดในแต่ละสถานที่ได้ไม่กี่วัน
ก็มีเพจดังในโลกออนไลน์ที่หยิบจับข้อความเหล่านั้น มาพูดถึงต่อในเพจของตัวเอง เพื่อสื่อสารกับแฟนเพจซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความสนใจคล้ายๆ กัน
ก็มีเพจดังในโลกออนไลน์ที่หยิบจับข้อความเหล่านั้น มาพูดถึงต่อในเพจของตัวเอง เพื่อสื่อสารกับแฟนเพจซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความสนใจคล้ายๆ กัน
อาทิ เพจ จส.100 ถ่ายภาพบิลบอร์ดที่มีข้อความว่า “ถ้าอ่านข้อความนี้จบ 50 ครั้ง แปลว่ารถติดมาแล้ว 5 นาที” แล้วจับประเด็นนี้มาทำคอนเทนต์ต่อในเพจ
โดยการจัดอันดับถนนที่รถติดที่สุดในกรุงเทพฯ แล้วให้แฟนเพจมาช่วยกันโหวต และเสนอชื่อถนนอื่นๆ ที่รถติดไม่แพ้กัน
โดยการจัดอันดับถนนที่รถติดที่สุดในกรุงเทพฯ แล้วให้แฟนเพจมาช่วยกันโหวต และเสนอชื่อถนนอื่นๆ ที่รถติดไม่แพ้กัน
ส่วน เพจ ประวัติศาสตร์ฮาเฮ ก็หยิบประเด็นในป้ายบิลบอร์ดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มาเล่าถึงความเป็นมาของอนุสาวรีย์ แล้วยังชวนแฟนเพจไปอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เรื่องอื่นๆ ที่มีอยู่ในแอป Blockdit อีกด้วย
การที่ Blockdit ทำโฆษณาขึ้นบนบิลบอร์ด แล้วถูกส่งต่อไอเดียไปที่เพจดังในโลกออนไลน์แบบนี้
มีข้อดีคือ เป็นการรวมจุดเด่นของสื่อทั้ง 2 ประเภท
ทั้งช่วยให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือ มีตัวตนที่จับต้องได้ในโลกออฟไลน์ ด้วยการใช้ป้ายบิลบอร์ด
และการทำให้ข้อความที่ต้องการสื่อ ถูกพูดถึงในวงกว้างโดยการใช้โซเชียลมีเดีย
มีข้อดีคือ เป็นการรวมจุดเด่นของสื่อทั้ง 2 ประเภท
ทั้งช่วยให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือ มีตัวตนที่จับต้องได้ในโลกออฟไลน์ ด้วยการใช้ป้ายบิลบอร์ด
และการทำให้ข้อความที่ต้องการสื่อ ถูกพูดถึงในวงกว้างโดยการใช้โซเชียลมีเดีย
เมื่อแบรนด์มีช่องทางสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้หลายทาง นั่นหมายถึงว่า มีโอกาสที่สารจะถูกส่งต่อไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างการรับรู้ได้มากขึ้น
สรุปแล้ว สำหรับบางแบรนด์ การตลาดที่มีประสิทธิภาพมากสุดในยุคนี้
จึงไม่ใช่แค่การพุ่งเป้าไปยังตลาดออนไลน์อย่างเดียว
แต่ต้องทำให้รอบด้าน และครอบคลุมไปถึงชีวิตในมิติอื่นๆ ของคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายด้วย
จึงไม่ใช่แค่การพุ่งเป้าไปยังตลาดออนไลน์อย่างเดียว
แต่ต้องทำให้รอบด้าน และครอบคลุมไปถึงชีวิตในมิติอื่นๆ ของคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายด้วย
ตัวอย่างของแอปพลิเคชัน Blockdit นี้ จึงถือเป็นกรณีศึกษาการทำการตลาดแบบ O2O ที่น่าสนใจ และเป็นไอเดียให้เราได้ลองนำไปปรับใช้ต่อด้วย
หมายเหตุ: ถ้าใครที่อยากรู้ว่า Blockdit คืออะไร ใช้แล้วเกิดไอเดียใหม่ๆ ได้อย่างไร สามารถไปลองดาวน์โหลดมาใช้ได้ที่ Blockdit.com/download หรือ เว็บไซต์ www.blockdit.com