กรณีศึกษา การปรับตัวของลูกอมโบตัน สู่ยาสีฟันสมุนไพร

กรณีศึกษา การปรับตัวของลูกอมโบตัน สู่ยาสีฟันสมุนไพร

15 ก.ย. 2021
กลายเป็นเพลงบอกอายุทางอ้อมไปแล้ว สำหรับเพลงฮิตติดปากสมัยวัยหวานของบางคนอย่าง
“ยา...หย่า...ย่า...ยี...หยี่...ยี่...คุณแม่ซักผ้า คุณยายสระผม ลูกอมโบตัน ยาสีฟันคอลเกต สบู่วิเศษ...ปั๊กกะเป้ายิ้งฉุบ”
เพราะไม่ว่าจะเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
ลองเพลงนี้ขึ้นมาเมื่อไร หลายคนที่เคยโตมากับเพลงนี้ คงอดไม่ได้ที่จะร้องหรืออมยิ้มตาม
เพียงแต่ ถ้าจะให้อินเทรนด์ เข้ากับเด็กยุคใหม่
ใครที่จะร้องเพลงนี้ อาจจะต้องปรับเนื้อเล็กน้อย
เพราะวันนี้ ลูกอมโบตัน ที่ร้องกันติดปาก ไม่ได้ขายแค่ลูกอมอีกต่อไป
แต่ล่าสุดแตกไลน์มาทำ “ยาสีฟันสมุนไพรโบตัน” ขายแล้ว
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจากขายลูกอมอยู่ดี ๆ ทำไมมาขายยาสีฟัน ?
ก่อนจะเฉลยข้อสงสัย ต้องท้าวความไปถึงเส้นทางของผู้ก่อตั้งลูกอมโบตันกันก่อน
รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว ลูกอมโบตันเป็นหนึ่งในแบรนด์ลูกหม้อ ของอาณาจักรโอสถสภา
ที่มีผลิตภัณฑ์มากมาย อาทิ M-150, เปปทีน, ทเวลฟ์พลัส, เบบี้มายด์, อุทัยทิพย์
พูดง่าย ๆ ว่า แค่เราเดินเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต ก็อาจจะเผลอเป็นลูกค้าของโอสถสภาโดยไม่รู้ตัว
กลับมาที่เรื่องราวของโอสถสภา ก่อนจะเป็นอาณาจักรแสนล้านวันนี้
เริ่มต้นธุรกิจจากร้านขายยาคูหาเล็ก ๆ ในย่านสำเพ็ง โดยชายที่ชื่อว่า นายแป๊ะ แซ่ลิ้ม
หลังจากข้ามน้ำข้ามทะเลจากเมืองจีนมาตั้งรกรากที่ไทย
ด้วยความที่นายแป๊ะ พอมีความรู้เกี่ยวกับตำรับยาแผนโบราณ
เลยมีโอกาสปรุงยาแจกจ่ายให้แก่ญาติมิตร และคนยากจนในย่านใกล้เคียง
เพื่อบำบัดอาการโรคท้องร่วงให้กับชาวบ้าน ซึ่งหากย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
โรคท้องร่วง (อหิวาต์) ถือเป็นหนึ่งในโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนมหาศาล โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง
แต่ด้วยสรรพคุณยาของนายแป๊ะ ที่ช่วยรักษาอาการของชาวบ้านได้ดีเกินคาด
ทำให้ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ จนตอนหลังทำแจกต่อไปไม่ไหว บวกกับเริ่มมีคนเรียกร้องว่าอยากขอซื้อยาตำรับนายแป๊ะ
ในปี พ.ศ.2435 นายแป๊ะจึงได้เปิดร้านขายยา โดยชื่อร้านว่า “เต๊กเฮงหยู”
ซึ่งมีความหมายว่า มีความอุดมสมบูรณ์และคุณธรรมความดีที่ยืดยาวตลอดกาล
โดยมีสินค้าแจ้งเกิด คือ "ยากฤษณากลั่น” ซึ่งมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องร่วง
และมีตราสินค้าที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน คือ ตรากิเลน เพราะชาวจีนเชื่อว่า​ กิเลนเป็นสัตว์ที่มาจากสวรรค์ มักจะมาปรากฏตัวให้เห็นในปีที่อุดมสมบูรณ์
เมื่อผนวกกับสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์ และคัมภีร์ตําราพิชัยสงคราม ยิ่งทําให้เครื่องหมายการค้าดูศักดิ์สิทธิ์ และน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของ "ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน" ของร้านขายยาเต๊กเฮงหยู ไม่ได้จำกัดแค่ในชุมชนแต่ยังขจรไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)
หลังจากนายแป๊ะได้นำยาไปช่วยในการบำบัดโรคท้องร่วง ให้กับกองกำลังในกิจการเสือป่า ที่จังหวัดนครปฐม
รัชกาลที่ 6 ทรงแนะนำให้ใช้ยากฤษณากลั่นในการรักษาโรคท้องร่วง ลงในพระราชนิพนธ์ “กันป่วย”
และยังพระราชทานเข็มเสือป่า และนามสกุล “โอสถานุเคราะห์” ให้แก่นายแป๊ะอีกด้วย
วันเวลาผ่านไป กิจการร้านขายยาก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง แต่ก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงมากมาย
นอกจากจะย้ายร้านจากสำเพ็งไปอยู่เจริญกรุง พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “โอสถสถานเต็กเฮงหยู”
เมื่อนายแป๊ะเสียชีวิตลง ธุรกิจก็ถูกส่งไม้ต่อมายังทายาทรุ่นที่ 2 คือ คุณสวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์
ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ด้วยความที่มีความรู้ทางการแพทย์ติดตัว ทำให้ในยุคของคุณสวัสดิ์ สามารถต่อยอดธุรกิจร้านขายยาไปได้ไกลกว่าเดิม
มีการคิดสูตรการผลิตยาสามัญประจำบ้านอื่น ๆ เพิ่มอีกหลายชนิด เช่น ยาธาตุ 4, ยาอมโบตัน รวมไปถึงการผลิตยาสมัยใหม่สูตรจากอังกฤษ อย่าง ยาทันใจ
จะเห็นว่า แม้จะมีการบันทึกว่ายาอมโบตัน เกิดในช่วงที่ธุรกิจถูกส่งไม้ต่อมาสู่เจนฯ 2
แต่ก็ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าลูกอมโบตัน ​เปิดตัวครั้งแรกในปีไหนกันแน่
แต่ถ้าเทียบจากประวัติของบริษัท ที่มีการพูดถึงความนิยมของลูกอมโบตันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475
ก็เป็นไปได้ว่า อายุของลูกอมโบตัน น่าจะไม่น้อยกว่า 80 ปี
ถ้าถามว่า อะไรคือจุดเด่นของลูกอมโบตัน ที่ทำให้ยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ ?
นอกจากจุดเด็ดของผลิตภัณฑ์ ที่ไม่เหมือนใครตั้งแต่ส่วนผสม
เพราะใช้ส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรจริงจากธรรมชาติมาผลิต ไม่ใช่แค่สารสกัด และยังการันตีว่าใช้แหล่งสมุนไพรคุณภาพสูง จึงทำให้ชุ่มคอได้นานกว่า ละลายช้า
โดยมีสองส่วนผสมที่เป็นพระเอกตลอดกาล คือ รากชะเอมบด และสะระแหน่
ในส่วนแพ็กเกจจิงของโบตัน ก็ต้องยอมรับว่าสะดุดตาและสร้างภาพจำไม่น้อย
จะเห็นว่าแพ็กเกจจิงของโบตันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนเป็นการโคจรมาพบกันของสามเฉดสีที่ไม่น่าจะมารวมตัวกันได้โดยไม่แย่งซีนกันเอง
ไม่ว่าจะเป็น สีแดง ที่สื่อความหมายถึง โชคลาภ
สีเหลือง หมายถึง แสงสว่างแห่งชีวิต
สีเขียว หมายถึง สมุนไพรธรรมชาติความอุดมสมบูรณ์
และที่ขาดไม่ได้คือ ตราสินค้า “กิเลน” ที่ดูคลาสสิกตลอดกาล
มาถึงเส้นทางการแจ้งเกิดของแบรนด์ ต้องบอกว่า นอกจากแบรนด์จะปูทางมาดี จังหวะยังเป็นใจ
เพราะช่วงที่ลูกอมโบตันเริ่มตีตลาด ใกล้เคียงกับสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างรู้ที่กันว่า ในยุคจอมพลป. มีการออกกฎให้คนไทยเลิกกินหมาก
เพราะทำให้ปากและฟันดำคล้ำ ดูเลอะเทอะไม่น่ามองสำหรับชาวต่างชาติ
และการบ้วนน้ำหมาก ก็สร้างความสกปรกเลอะเทอะแก่ถนนหนทาง
พอเป็นแบบนี้ ลูกอมจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เข้ามาช่วยแก้ขัดหรือทดแทนการเคี้ยวหมากได้เป็นอย่างดี
ซึ่งลูกอมโบตันก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้อานิสงส์ไม่น้อย
เมื่อบวกกับการทำการตลาด หรือ ที่สมัยนั้นมีคำเรียกว่า “ปลูกนิยม” แบบปูพรมไปทุกหย่อมหญ้า
นอกจากจะผูกมิตรกับร้านขายยา เพื่อให้ช่วยแนะนำสินค้า
ยังมีการทำโฆษณาโปรโมตผ่านแทบทุกช่องทาง
ไม่ว่าจะเป็น การติดประกาศตามต้นไม้ ท่าน้ำ ร้านค้า ร้านขายยา
การใช้กลยุทธ์รถเร่ฉายหนังขายยา ไปจนถึงการแจกสินค้าตัวอย่างให้ทดลองใช้, เป็นสปอนเซอร์สนับสนุนในงานใหญ่ของจังหวัดต่าง ๆ และลงโฆษณาหนังสือพิมพ์ด้วย
ก็ทำให้ลูกอมโบตันเป็นที่รู้จักและเข้าไปนั่งในใจลูกค้า
ฮิตถึงขนาดกลายเป็นส่วนหนึ่งของเพลงที่ยกมาข้างต้น เรียกว่าไม่มีเด็กคนไหนร้องไม่ได้
แต่ถ้าถามว่าอะไร คือ กุญแจดอกสำคัญที่ทำให้ลูกอมโบตัน ยืนท็อปในจักรวาลลูกอม
คำตอบ คือ การครองตัวเป็นแบรนด์ที่เก่าแต่ยังเก๋า
จะเห็นว่า แม้ลูกอมโบตันจะเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่คงเอกลักษณ์หลาย ๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
แต่การรักษาสูตรของโบตัน ตั้งแต่เริ่มวางตลาดจนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยเปลี่ยน
ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับก้าวไปข้างหน้า
แต่อะไรบางอย่างที่เป็นจุดอ่อนสำหรับแบรนด์ แบรนด์ก็ยอมปรับตัว เพื่อให้สินค้าตอบโจทย์ลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
อย่างที่ผ่านมา จากยุคแรก ที่ผลิตเป็นซองกระดาษห่ออยู่ด้านนอก ด้านในจะมีฟอยล์หุ้มอีกชั้น เพื่อเก็บกลิ่นและรสชาติของตัวยา ต่อมาจึงพัฒนาเป็นกระดาษฟอยล์ในตัว
หลังจากนั้นจึงพัฒนามาเป็นตลับโลหะ ซึ่งช่วยเก็บรักษาตัวยาได้ดี เพิ่มเติมคือพกพาสะดวก ใช้งานง่าย
แต่ด้วยต้นทุนที่สูง ต่อไปเลยพัฒนาเป็นตลับพลาสติก ซึ่งยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน
มาถึงในส่วนของรสชาติ สำหรับโบตันแบบคลาสสิกนั้น ยังคงรักษาสูตรและคุณภาพไว้เหมือนเดิม ​
ปัจจุบันมีจำหน่ายหลายรูปแบบทั้งแบบซองและแบบตลับ
โดยโบตันตลับขาว เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบรสชาติดั้งเดิม แต่ต้องการความสะดวกสบายในการพกพา
ส่วนตลับเหลือง หรือโบตันพลัส มีการปรับรสชาติให้หวานขึ้นด้วยชะเอม เพื่อให้กินง่าย
ส่วน Botan Mint Ball เดิมทีเป็นการต่อยอดจากโบตันคลาสสิก
ด้วยการนำสารเคลือบความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาล และความหอมเย็นมาเคลือบไว้ ส่วนด้านในยังคงเป็นโบตันรสดั้งเดิม
แต่ปรากฏว่าไม่โดนใจลูกค้าเท่าที่ควร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
สุดท้ายเลยรื้อสูตร เอาสารตั้งต้นอย่างโบตันคลาสสิกออก พัฒนาเป็นลูกอมรสมินท์เย็นชื่นใจ ภายใต้ชื่อโบตัน
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า​ การปรับตัวของลูกอมโบตันก็ไม่ได้หวือหวา
หรือแตกต่างจากแบรนด์ในตำนาน​ ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมากนัก
จนกระทั่ง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โบตันปฏิวัติวงการ ด้วยการแตกไลน์สินค้าใหม่อย่างยาสีฟันสมุนไพรโบตันเฮอร์เบิลเฟรช
ซึ่งมีส่วนผสมหลักจากสารสกัดชะเอมเทศ ข่อย ใบฝรั่ง ชาขาว และกานพลู
ที่น่าสนใจคือ ถึงจะแปลงร่างเป็นยาสีฟัน แต่แพ็กเกจจิงของหลอดยาสีฟัน ก็ยังไม่ทิ้งซิกเนเชอร์ของโบตัน
ที่ต้องมี 3 สี ได้แก่ แดง เขียว เหลือง และกิเลน ซึ่งด้วยขนาดบรรจุภัณฑ์ ที่ทำให้กิเลนตัวใหญ่กว่าเดิม
เสียดายที่ไม่ได้ยิงฟันให้ดู เพราะปกติบนบรรจุภัณฑ์ของยาสีฟันต้องมีภาพฟันสวย ๆ เป็นแรงบันดาลใจอยากให้คนซื้อตาม..
และถ้าถามต่อว่า แล้วยาสีฟันโบตัน รสชาติเหมือนลูกอมโบตันหรือเปล่า
งานนี้ สิบปากว่าไม่เท่าทดลองด้วยตัวเอง
ส่วนเหตุผลที่ทำให้โบตัน ผันตัวมาทำยาสีฟัน
นอกจากจะเป็นการขยายฐานลูกค้า ด้วยการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้นแล้ว
เพราะอย่าลืมว่า ยาสีฟัน เป็นของที่ทุกคนต้องใช้
อีกส่วนหนึ่งก็เป็นไปได้ว่า เป็นการต่อยอดจุดแข็งของลูกอมโบตัน
ที่เน้นย้ำมาตลอดว่า นอกจากเพิ่มความชุ่มคอ ยังช่วยระงับกลิ่นปาก
เลยทำยาสีฟันซะเลย ใครจะไปรู้ ในอนาคตอาจจะมีน้ำยาบ้วนปากโบตัน ด้วยก็ได้
แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ ถ้าจะร้องเพลง “ยา...หย่า...ย่า...ยี...หยี่...ยี่...คุณแม่ซักผ้า คุณยายสระผม ลูกอมโบตันแล้ว อย่าร้องเพลินจนลืมเปลี่ยนเนื้อจาก ยาสีฟันคอลเกต เป็นยาสีฟันโบตัน
อย่างน้อยเด็กยุคนี้ จะได้ไม่รู้ว่าเราอยู่เจนฯ ไหน..
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.