รู้จัก Sam Altman เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่เป็น CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI บริษัทผู้พัฒนา ChatGPT

รู้จัก Sam Altman เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่เป็น CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI บริษัทผู้พัฒนา ChatGPT

13 เม.ย. 2023
ChatGPT หนึ่งในเทคโนโลยี AI ที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในช่วงนี้
ด้วยการเป็นเทคโนโลยี AI ที่มีความสามารถทางด้านภาษา ตอบคำถามได้อย่างเฉียบคม จนทำลายสถิติ มีผู้ใช้งานเกิน 1 ล้านคน ภายในระยะเวลาเพียง 5 วัน และ 100 ล้านคน ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน..
จนทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ต้องยอมปรับทิศทางการพัฒนา AI ภายในบริษัทเสียใหม่ เพราะมองว่า AI ของ Google ยังตามหลัง ChatGPT เป็นอย่างมาก..
ซึ่งแม้เราจะรู้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า ChatGPT เป็นผลงานการพัฒนาของ OpenAI บริษัทสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยี AI ที่ก่อตั้งมาได้เพียง 7 ปี แต่มีมูลค่าบริษัทถึง 29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.9 แสนล้านบาท)
แต่น้อยคนนักที่จะรู้จัก “บุคคล” ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ OpenAI โดยเฉพาะผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO คนปัจจุบันของ OpenAI ที่แน่นอนว่าต้องเป็นบุคคลที่มีส่วนร่วม และกำหนดทิศทาง จนนำมาสู่ความสำเร็จ ของ ChatGPT รวมถึง AI ตัวอื่น ๆ ของ OpenAI อย่างแน่นอน
คนคนนั้น ที่เรากำลังพูดถึงนี้ มีชื่อว่า “Sam Altman”
Sam Altman เป็นชายชาวอเมริกัน ปัจจุบันมีอายุ 38 ปี 
ซึ่งเขาเกิดในปี 1985 ในยุคที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล กำลังเป็นเรื่องใหม่
แต่เขาก็ “ฉายแวว” ความเป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่มีอายุได้เพียง 8 ขวบ 
ด้วยการ “ชำแหละ” และเริ่มหัดเขียนโปรแกรมเป็นครั้งแรก บนคอมพิวเตอร์ Macintosh ของที่บ้าน
นอกจากความสนใจเรื่องคอมพิวเตอร์แล้ว 
เขายังเปิดตัวกับครอบครัว ว่าเป็นเกย์ ในวันที่เขาอายุได้ 16 ปี
ซึ่ง Sam เคยยอมรับว่า การเปิดตัวว่าเป็นเกย์ ในช่วงปี 2000 นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับเส้นทางการใช้ชีวิตของเขา เลยแม้แต่น้อย
เพราะหลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขาสามารถเข้าเรียนในคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของโลก ได้สำเร็จ
แต่เมื่อเรียนไปได้เพียง 2 ปี เขาและเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนอีก 2 คน ได้ตัดสินใจที่จะ “ดร็อป” เรียนกลางคัน ในปี 2005
เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับแอปพลิเคชัน ที่เขาและเพื่อน ๆ ร่วมกันคิดค้นขึ้นมา แทนที่จะรอให้เรียนจบมหาวิทยาลัยเสียก่อน
ซึ่งแอปนั้นมีชื่อว่า Loopt เป็นแอปที่มีฟีเชอร์ “แชร์ตำแหน่ง” ของเรากับเพื่อน ๆ 
หรือเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า Loopt ก็คล้าย ๆ กับแอป Find My ของ Apple ที่เราใช้กันในทุกวันนี้
หลังจากที่เริ่มพัฒนาแอป Loopt ได้ไม่นาน ผลงานของ Sam และเพื่อน ๆ ก็ไปเตะตา Y Combinator ซึ่งเป็นบริษัทบ่มเพาะสตาร์ตอัป ที่ให้การสนับสนุนบริษัทสตาร์ตอัปต่าง ๆ ด้วยการให้เงินทุน ทรัพยากรสำหรับการดำเนินธุรกิจ และคำปรึกษา
โดย Y Combinator ได้เลือก Loopt เป็น 1 ใน 8 บริษัทสตาร์ตอัปกลุ่มแรก ที่ได้เงินสนับสนุนจำนวน 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 205,000 บาท)
หลังจากนั้น Loopt ก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการไปทำข้อตกลงการให้บริการกับเครือข่ายโทรศัพท์ต่าง ๆ จนมีมูลค่ากิจการ 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6,000 ล้านบาท)
แม้ในภายหลัง กลุ่มผู้ร่วมก่อตั้ง Loopt จะตัดสินใจ “แยกทาง” ด้วยการขายกิจการ Loopt ทิ้งไป
แต่ Sam เอง ก็ได้เลื่อนขั้น จากการเป็นเจ้าของธุรกิจสตาร์ตอัป ที่ขอรับเงินสนับสนุน 
กลายมาเป็นประธานของ Y Combinator ในปี 2014 ก่อนที่จะลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเข้ามาทำงานกับ OpenAI ในฐานะ CEO อย่างจริงจัง ในเวลาต่อมา
นอกจาก Sam แล้ว ผู้ร่วมก่อตั้งของ OpenAI ยังมีอีก 6 คน 
ซึ่งมีทั้ง Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มหางาน LinkedIn, Andrej Karpathy อดีตผู้อำนวยการฝ่าย Autopilot ของ Tesla
แต่ผู้ร่วมก่อตั้งที่เราน่าจะคุ้นชื่อมากที่สุด คงหนีไม่พ้น Elon Musk มหาเศรษฐีชื่อดัง ผู้เป็นเจ้าของบริษัทอย่าง Tesla, SpaceX และ Twitter
โดยผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 7 คน ตกลงกันว่าจะร่วมลงทุนใน OpenAI เป็นจำนวนเงินรวมกันทั้งสิ้น 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34,300 ล้านบาท) ในปี 2015
และตั้งเป้าหมายให้ OpenAI เป็นบริษัทเทคโนโลยี AI ที่ “ไม่แสวงหาผลกำไร” และป้องกันไม่ให้ AI ทำลายความเป็นมวลมนุษยชาติ..
โดย Elon Musk ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมุมมองที่มีต่อเทคโนโลยี AI โดยระบุว่า
“เราสามารถนั่งมองอยู่ห่าง ๆ หรือเลือกที่จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างระเบียบ ข้อบังคับ หรือจะสร้างโครงสร้างที่เหมาะสม ร่วมกับคนที่พัฒนา AI เพื่อทำให้มั่นใจว่า AI นั้นปลอดภัย และจะเป็นประโยชน์กับคนจริง ๆ”
อย่างไรก็ตาม Sam และ Elon ก็ไม่ได้ร่วมงานกันจนตลอดรอดฝั่ง เพราะในปี 2018 Elon ตัดสินใจแยกทางกับ OpenAI
เพราะมองว่า OpenAI ยังคงตามหลัง Google อยู่เป็นอย่างมาก และยังพยายามยึดอำนาจการบริหารมาไว้ที่ตัวเองเพียงคนเดียว แต่ก็ทำไม่สำเร็จแต่อย่างใด..
หลังจากนั้นเพียง 1 ปี Sam ซึ่งในขณะนั้นกำลังดำรงตำแหน่งเป็น “ประธาน” ของ Y Combinator ก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เพื่อมารับหน้าที่เป็น CEO คนใหม่ ของ OpenAI อย่างเต็มตัว
ซึ่งภายในปีเดียวกัน ภายใต้การบริหารของ Sam 
OpenAI ก็ปรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทครั้งใหญ่ มุ่งสู่การเป็นบริษัทที่หากำไรอย่างเต็มตัว
และหลังจากนั้นเพียง 4 เดือน OpenAI ก็ได้ Microsoft มาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ ด้วยมูลค่าการลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34,300 ล้านบาท)
รวมถึงในปัจจุบัน Microsoft มีมูลค่าการลงทุนสะสม ใน OpenAI ไปแล้วกว่า 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.4 แสนล้านบาท)
นอกจากนี้ Microsoft ยังนำ ChatGPT ซึ่งเป็นผลงานขึ้นชื่อของ OpenAI ไปผนวกเป็นหนึ่งในความสามารถของ Bing เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการนำ AI ไปสู้ในศึก Search Engine กับ Google อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลาย ๆ คน อาจรู้จัก OpenAI จาก ChatGPT แต่ในความจริงแล้ว OpenAI ไม่ได้มีเพียงผลงานขึ้นชื่อเป็น ChatGPT เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะ OpenAI ยังมี DALL-E ซึ่งเป็น AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ภาพ รวมถึงงานศิลป์อื่น ๆ โดยอาศัยการเรียนรู้ภาพต้นฉบับจากอินเทอร์เน็ต
เมื่ออ่านมาจนถึงจุดนี้ คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความสำเร็จของ OpenAI ในฐานะบริษัท “เปลี่ยนโลก” ที่ทำให้โลก หันมาสนใจวิวัฒนาการของเทคโนโลยี AI รวมถึงก่อให้เกิดความตื่นตัวในการใช้เทคโนโลยี AI ในบริบทต่าง ๆ
ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นได้ เพราะคนที่ชื่อว่า Sam Altman ผู้ที่ใช้ความสามารถ รวมถึงความพยายาม ในการผลักดัน OpenAI ให้สามารถมาไกลถึงวันนี้ได้ นั่นเอง..
อ้างอิง:
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.