สรุป 5 วิธีคิดแบบ “คนญี่ปุ่น” ที่ปรับใช้ได้ ในมุมการตลาด เน้นขายความใส่ใจ ช่วยให้ขายดี

สรุป 5 วิธีคิดแบบ “คนญี่ปุ่น” ที่ปรับใช้ได้ ในมุมการตลาด เน้นขายความใส่ใจ ช่วยให้ขายดี

14 มิ.ย. 2025
ญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศต้นกำเนิดของแบรนด์ดังระดับโลก บางแบรนด์มีความเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับ “ร้อยปี” ไม่ว่าจะเป็น Shiseido, Ajinomoto, Nikon, Kikkoman และ Kubota
ซึ่งปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ญี่ปุ่นเหล่านี้ ก็คงหนีไม่พ้นการทำการตลาดแบบคนญี่ปุ่น ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต็มไปด้วยความเรียบง่าย แต่ใส่ใจในทุกรายละเอียด
แล้ว “การตลาดแบบคนญี่ปุ่น” ทำอย่างไร ?
______________________________
1. Omotenashi (อ่านว่า โอะ-โมะ-เตะ-นะ-ชิ) หมายถึง การบริการด้วยใจ
แนวคิด Omotenashi มีจุดเริ่มต้นมาจากพิธีชงชา เพื่อต้อนรับแขกในแบบของคนญี่ปุ่น ซึ่งเจ้าของบ้านจะต้องจัดเตรียมทุกอย่างอย่างละเอียด เพื่อเป็นการให้เกียรติแขก
ตั้งแต่การกวาดทางเดินให้สะอาด เตรียมตกแต่งห้องให้สวยงาม ไปจนถึงการเตรียมถ้วยสำหรับดื่มชาไว้ให้พร้อม
ซึ่งในภายหลัง แนวคิดนี้ก็ได้รับการสืบทอดต่อ ๆ กันมา และถูกนำมาปรับใช้ กับแบรนด์ในอุตสาหกรรมบริการ เช่น โรงแรม รถไฟ หรือร้านอาหาร เพื่อใช้เป็นแนวคิดในการให้บริการลูกค้าด้วยใจ โดยเฉพาะ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรามักพบแนวคิด Omotenashi ได้ในร้านอาหารญี่ปุ่นแบบแท้ ๆ เช่น ร้านโอมากาเสะ ในประเทศไทย ที่จะมีบริการที่ใส่ใจลูกค้าเป็นพิเศษ แตกต่างจากร้านอาหารประเภทอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง รสชาติอาหารที่ชอบ เมนูอาหารที่แพ้ หรือการจัดจานให้เหมาะกับมุมการนั่งของลูกค้าแต่ละคน
นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกับลูกค้าเล็กน้อย เพื่อนำเสนอเรื่องราวของอาหารแต่ละจาน จนทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการมองว่า โอมากาเสะ ไม่ได้เป็นเพียงการรับประทานอาหาร แต่เป็นการ “ซื้อประสบการณ์” รูปแบบหนึ่ง
______________________________
2. Kaizen (อ่านว่า ไค-เซ็น)​ หมายถึง การปรับปรุงเพื่อให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แนวคิด Kaizen มีจุดเริ่มต้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศญี่ปุ่นกำลังขาดทรัพยากรและเงินทุนอย่างหนัก
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องแข่งขันกับประเทศตะวันตก รัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ จึงหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่ให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
โดยบริษัทแรกที่เริ่มนำแนวคิด Kaizen มาปรับใช้ให้กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ก็คือ Toyota ที่ส่งเสริมให้พนักงาน เสนอไอเดียที่ช่วยปรับปรุงการทำงานเล็ก ๆ ในทุกวัน เพื่อให้ใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
ซึ่งหากพูดในมุมการตลาดง่าย ๆ ก็คือ การยอมเปลี่ยนแปลงบางอย่างและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมเสมอ เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับให้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งถ้าให้ยกตัวอย่างแบบใกล้ตัวขึ้นมา เช่น ธุรกิจร้านอาหาร อาจใช้วิธีสอบถามความเห็นของลูกค้าอยู่เสมอ และเปลี่ยนแปลงรสชาติให้ถูกใจลูกค้ามากขึ้น หรือการปรับปรุงขั้นตอนการให้บริการ เพื่อทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากยิ่งขึ้น
______________________________
3. Kodawari​ (อ่านว่า โค-ดะ-วะ-ริ) หมายถึง ความพิถีพิถันในรายละเอียด
แนวคิด Kodawari มีต้นกำเนิดจากวิธีการทำงานของช่างฝีมือชาวญี่ปุ่น ที่ต้องใส่ใจรายละเอียดในทุกขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงาน
เช่น การทำเครื่องปั้นดินเผา งานไม้ การทอผ้าไหม ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้เวลานาน และอาศัยความละเอียดลออในทุกขั้นตอน
ซึ่งช่างฝีมือเหล่านี้เชื่อว่า ความสมบูรณ์แบบ มาจากการทุ่มเทในทุกขั้นตอน แม้ลูกค้าอาจมองไม่เห็นก็ตาม
และแนวคิดนี้ก็ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนนำมาใช้ร่วมกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร แฟชั่น และเทคโนโลยี
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ ๆ มักมีราคาสูง เนื่องจากต้นทุนของวัตถุดิบ ที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ส่งผลให้มีราคาที่สูงกว่าร้านอาหารทั่วไป
แม้ว่าจะลดต้นทุนได้ด้วยการเปลี่ยนวัตถุดิบ หรือนำวัตถุดิบเกรดอื่นมาใช้แทนได้ก็ตาม
______________________________
4. Makoto​ (อ่านว่า มา-โคะ-โตะ) หมายถึง ความจริงใจ ซื่อสัตย์ และโปร่งใส
แนวคิด Makoto เป็นแนวคิดการขายสินค้าจากพ่อค้าชาวญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ ที่เชื่อว่า “หากไม่มีความจริงใจ ก็จะไม่มีลูกค้ากลับมา”
ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างร้านค้ากับลูกค้า ตามแนวคิดการขายสินค้าของพ่อค้าชาวญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ จึงไม่ได้เน้นแค่การซื้อขาย แต่ยังให้ความสำคัญไปที่การสร้างความผูกพันในระยะยาว หรือก็คือแนวคิดการสร้าง Customer Loyalty ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณนั่นเอง
ซึ่งปัจจุบันแนวคิด Makoto ก็ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในแบรนด์ญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น
- MUJI
ร้านขายสินค้าทั่วไปจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคำว่า MUJI ย่อมาจากคำว่า Mujirushi Ryohin ที่แปลว่า “สินค้าคุณภาพดีที่ไม่มีแบรนด์”
หมายถึง การแสดงความตรงไปตรงมา และความจริงใจในการขายสินค้า ว่าสินค้าของ MUJI ไม่ได้เน้นการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่เน้นที่คุณภาพแท้ ๆ ที่อยู่ในตัวสินค้า
- Uniqlo
หรืออย่างร้าน Uniqlo ที่ใช้การโฆษณา ด้วยภาษาธรรมดา ๆ เน้นไปที่การอธิบายคุณสมบัติจริงของสินค้าแบบไม่โอเวอร์ เช่น “อบอุ่น” “แห้งเร็ว” และ “ระบายอากาศได้ดี” เป็นต้น
______________________________
5. Wabi-Sabi​ (อ่านว่า วะ-บิ ซะ-บิ)​​ หมายถึง ความงามที่มาจากความไม่สมบูรณ์แบบ และเรียบง่าย
ที่มาของแนวคิด Wabi-Sabi ไม่ได้เกิดจากตำราการตลาดโดยตรง แต่เกิดจากการที่แบรนด์ และนักออกแบบหยิบแนวคิดปรัชญา Wabi-Sabi จากวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิม มาใช้เป็นปัจจัยสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์
จากเดิมที่ลูกค้าต่างนิยมเลือกซื้อสินค้าที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบ และตกแต่งอย่างสวยงามเท่านั้น แต่แนวคิดนี้ทำให้ลูกค้าหันมาเลือกใช้งานสินค้าที่มีความเรียบง่าย หรือไม่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น ร้าน MUJI ขายเสื้อผ้าที่ไม่มีโลโก และมีดิไซน์ที่เรียบง่าย ไม่มีเรื่องแบรนด์มาเกี่ยวข้อง เพราะ MUJI ต้องการให้ลูกค้าใส่ใจแค่เรื่องประโยชน์ใช้สอยของสินค้าเท่านั้น
นอกจากนี้ Wabi-Sabi ยังมีความเชื่อมโยงกับแนวคิด Kintsugi (อ่านว่า คิน-สึ-งิ) ที่มองว่า “รอยแผลคือเรื่องเล่า ไม่ใช่ข้อบกพร่องของสิ่งต่าง ๆ”
ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายเครื่องเซรามิกในประเทศญี่ปุ่นจำนวนมาก ที่ใช้วิธีการซ่อมจาน หรือชามที่เคยแตกด้วยทอง ซึ่งทำหน้าที่ผสานรอยแตกเข้าด้วยกัน เป็นการแสดงให้เห็นถึงเรื่องเล่าที่เป็นเบื้องหลังของจาน หรือชามใบนั้น
ซึ่งแนวคิด Kintsugi นี้ แบรนด์ขนมอย่าง OREO ในประเทศบราซิล ได้หยิบมาทำเป็นแคมเปญการตลาด โดยใช้ชื่อแคมเปญว่า Kintsugi
โดยแนวคิดหลักคือ การยอมรับรอยร้าวของ OREO โดยการซ่อมแซม ด้วยครีมวานิลลาสูตรพิเศษ เป็นการเลียนแบบแนวคิด Kintsugi นั่นเอง
______________________________
ทั้งหมดนี้ คือแนวคิดการตลาด และการสร้างแบรนด์ ตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่น ที่แบรนด์สามารถลองนำไปใช้ ในการสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ได้ในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องจัดโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม เลย
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.