สรุปไฮไลต์ KBTG Techtopia: At World's Beginning รวมเรื่อง Tech และ AI แบบเจาะลึก ในโพสต์เดียว

สรุปไฮไลต์ KBTG Techtopia: At World's Beginning รวมเรื่อง Tech และ AI แบบเจาะลึก ในโพสต์เดียว

9 ก.ย. 2025
เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ได้จัดงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning เพื่ออัปเดตเทรนด์ ความรู้ ทักษะ และมายด์เซต ที่จะมาจุดประกายความคิด ให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะคนที่ทำงานในสายเทคโนโลยีโดยเฉพาะ
อีกหนึ่งไฮไลต์ของอิเวนต์นี้ คือ ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์จริง ของทั้งผู้บริหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแขนงต่าง ๆ มากกว่า 80 คน
แล้วงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning จะมีไฮไลต์อะไรที่ไม่ควรพลาดบ้าง MarketThink ชวนเจาะลึกในโพสต์นี้
เริ่มต้นกันด้วย Opening Session ในหัวข้อ How Al Changes Humanity (and How Humans can Change the World) ของคุณกระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่ม บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)
คุณกระทิงกล่าวเปิดงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning ด้วยการพูดถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยี AI ที่ก้าวหน้าไปมาก ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น
ที่สำคัญคือเราได้เห็นการเติบโตของ Generative AI ที่ตอนนี้อาจเรียกได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุด ในขณะที่เริ่มเห็นสัญญาณของ Agentic AI ที่กำลังมาแรง
โดยที่หลายองค์กร เริ่มนำ AI เข้าไปใช้ในกระบวนการทำงาน จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว หรือหลายองค์กรกำลังพยายามสร้างการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยี AI (AI Transformation) กันเป็นเรื่องปกติ
แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่คุณกระทิงพบก็คือ แม้หลายองค์กรจะเริ่มต้นกระบวนการ AI Transformation ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่สามารถใช้ AI เพื่อสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริง
ซึ่งคุณกระทิงได้แนะนำว่า กระบวนการ AI Transformation ขององค์กรนั้น จะต้องประกอบไปด้วย 6 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
1. เลือกยูสเคสการใช้งาน AI ที่เหมาะสม
2. มีข้อมูลสำหรับการฝึกฝน AI ที่มากพอ และมีคุณภาพ
3. ปฏิรูปกระบวนการทำงาน ให้เหมาะกับ AI โดยเฉพาะ
4. มีการกำกับดูแล (Governance) การใช้ AI ที่ดี
5. มีผู้นำองค์กรที่พร้อมผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
6. ต้องรู้จักการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงแบบองค์รวม
หากทำตามองค์ประกอบทั้ง 6 ข้อนี้ได้ ก็จะทำให้กระบวนการ AI Transformation ขององค์กร มีแนวโน้มประสบความสำเร็จ และสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ในโลกของ AI กำลังเผชิญกับ 5 จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เป็นเหมือนการชี้ชะตา การใช้งาน AI ของคนทั้งโลกในอนาคต ได้แก่
1. การมาของ AI Agent
ซึ่งมีศักยภาพสูง สามารถทำงานที่ซับซ้อน และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
แต่ AI Agent จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลกได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “มนุษย์” ซึ่งเป็นผู้สร้างเทคโนโลยี จะเป็นผู้กำหนด
2. การกำกับดูแล และการควบคุมการใช้ AI
ต้องมีการกำกับดูแล และควบคุมการใช้ AI ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ และยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยี (Human Centric)
3. AI ต้องการความร่วมมือในระดับโลก
เพราะประเทศ องค์กร บริษัท หรือใครคนใดคนหนึ่ง ไม่สามารถพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาของเทคโนโลยี AI ได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งระดับนานาชาติ ระดับชาติ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน
4. การใช้ AI อย่างยั่งยืน
AI จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรปริมาณมหาศาลในการประมวลผล เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้า และน้ำสะอาด
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงการพัฒนา AI ให้มีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
5. AI กับประเด็นด้านความเท่าเทียม
การใช้ AI ที่ดีควรสร้างความเท่าเทียม มากกว่าสร้างความเหลื่อมล้ำทางด้านสติปัญญาของผู้คนทั่วโลก
นอกจากนี้ คุณกระทิง ยังได้ร่วมพูดคุยแบบ Virtual กับคุณ Andrew Ng Managing General Partner ของ AI Fund หนึ่งในผู้บุกเบิกเทคโนโลยี AI ระดับโลก
โดยหนึ่งในประเด็นที่จะขอหยิบยกมาอธิบายคือ ความกังวลของคนทั่วโลก ว่าจะถูกแทนที่ด้วย AI ซึ่งฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ จากวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในประเด็นนี้คุณ Andrew Ng ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจมาก ๆ เพราะคุณ Andrew Ng มองว่า “AI จะไม่ได้มาแทนที่คน แต่คนที่ใช้งาน AI ต่างหาก ที่จะมาแทนที่คนที่ไม่ได้ใช้งาน AI”
ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเตรียมทักษะ ให้พร้อมกับการใช้งาน AI ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งต่อบุคคล และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ การใช้ AI ช่วยเขียนโคด ที่คุณ Andrew Ng มองว่าสามารถทำได้ง่ายขึ้นมาก จนคนที่ไม่เคยเขียนโคดมาก่อน ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ Software Engineer ที่เคยชินกับการเขียนโคดอยู่แล้ว ก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาน้อยลง รวมถึงมีต้นทุนในการพัฒนาที่ลดลงด้วย
นอกจากทั้งสอง Session นี้ของคุณกระทิงและคุณ Andrew Ng แล้ว ยังมี Session อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมาก ซึ่ง MarketThink จะขอยกไฮไลต์ของ Session ที่มีความน่าสนใจ มาสรุปให้อ่านกันทั้งหมด 4 Session ได้แก่
- The Essential Human Skill in the Age of Al
เริ่มต้นกันด้วยการอุ่นเครื่องกับ Session ที่ชื่อว่า The Essential Human Skill in the Age of Al ของคุณธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการและกรรมการอิสระ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ใน Session นี้ ว่าด้วยเรื่อง “ทักษะ” ที่จำเป็นต้องมีในวันที่ AI กำลัง Disrupt การทำงานของเราทุกคน
ซึ่งคุณธนา เรียกแนวคิดการพัฒนาทักษะเพื่อรับมือกับ AI เป็นตัวย่อสั้น ๆ ว่า ITYx
โดยเริ่มจากตัว I ที่เป็นตัวแทนของ AI ที่เก่งในเรื่องการทำงานหรือการคิดที่เจาะลึกในด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ
แม้จะฟังดูเหมือนน่ากลัวที่ AI มีความเก่งในด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จริง ๆ แล้วเรื่องนี้เราสามารถหยิบมาใช้เป็นข้อได้เปรียบของคนที่ AI ยังทำไม่ได้
นั่นคือการพัฒนาทักษะและความสามารถของเราให้มีลักษณะเหมือนตัว T คือ นอกจากจะมีความรู้หรือเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งแบบลงลึกแล้ว จะต้องมีความรู้ในหลากหลายด้าน หรือรู้กว้าง ๆ เหมือนตัว T ด้วย
ซึ่งเทคนิคที่จะพัฒนาความรู้ ทักษะ หรือความเชี่ยวชาญให้ทั้งลึกและกว้างแบบตัว T ได้นั้น คุณธนาแนะนำว่า ให้พาตัวเองไปอยู่ในจุดใหม่ ๆ โดยเฉพาะจุดที่อาชีพตัวเองไม่เคยอยู่มาก่อน
ตัวย่อถัดมาคือ ตัว Y เป็นตัวแทนของคำว่า Multi-Disciplinary หรือคำว่าสหวิทยาการ คือความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญในแขนงต่าง ๆ เข้าด้วยกันเหมือนตัว Y
และตัวย่อสุดท้ายคือ ตัว x เป็นเหมือนส่วนเสริมที่ช่วยสร้างความได้เปรียบของคนให้มากขึ้น เป็นตัวแทนของคำว่า Likable
หรือเรียกง่าย ๆ ว่าทักษะการเป็นคนที่คนอื่น ๆ ชื่นชอบ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาส และพาเราไปเจอกับคนเก่ง ๆ ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนที่เก่งตามไปด้วย
- Reimagining Infrastructure in Thailand
ใน Session นี้ ว่าด้วยเรื่องการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Infrastructure) ให้มีความพร้อมกับการใช้งาน Cloud และ AI ขององค์กร
โดยมี Speaker ทั้งหมด 3 ท่าน เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Infrastructure โดยเฉพาะ ได้แก่
คุณสุพรรณี อำนาจมงคล Country Manager, Red Hat Thailand
คุณสุทธิรักษ์ นาคะพันธุ์ Customer Solutions Consultant, Google Cloud Thailand
คุณวิทยากร แช่มกัน Senior Business Development Manager, YIP in Tsoi
โดยประเด็นสำคัญของ Session นี้ แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่
1. โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีแบบเปิด (Open Infrastructure) เป็นบ่อเกิดของการสร้างสรรค์นวัตกรรม
ซึ่ง Open Infrastructure คือ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีแบบเปิด มีความเป็นอิสระ มีความยืดหยุ่นในด้านการจัดการ
โดยเฉพาะการจัดการ Workload และ Migration จาก Cloud หนึ่งไปอีก Cloud หนึ่ง ทั้ง Cloud On-Premise, Private Cloud และ Public Cloud โดยมีผลกระทบต่อระบบ ทีมงาน และผู้ใช้งานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ ทำให้องค์กรมีความสามารถในการจัดการชุดทักษะ (Skill Set) ที่จำเป็นต้องใช้ได้ดียิ่งขึ้น
เพราะองค์กรสามารถใช้ชุดทักษะเดียวกันในการจัดการ Open Infrastructure ได้ในทันที มีความเป็นมาตรฐาน ตัวอย่างเช่น การใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกัน
ทำให้ง่ายต่อการทำงานร่วมกันระหว่างทีมต่าง ๆ ภายในองค์กร ที่ทำงานร่วมกันภายใต้ Open Infrastructure เดียวกัน
และในท้ายที่สุดแล้ว ความยืดหยุ่น และความง่ายในการบริหารจัดการ Open Infrastructure นี้ ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในอนาคตยังเห็นแนวโน้มของ Infrastructure as Code (IaC) หรือการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้วยโคด ซึ่งทำให้เกิดการบริหารจัดการ Infrastructure แบบ Automation ลดงานแบบ Manual ที่มีความซับซ้อนลงได้ในอนาคต
2. ความต้องการ Public Cloud ในไทย มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ประเด็นถัดมาที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงใน Session นี้ก็คือ เทรนด์ด้านการใช้งาน Public Cloud ในประเทศไทยที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
สังเกตได้จากการที่มีบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ระดับโลกหลายราย เข้ามาตั้ง Data Center ในประเทศไทย
โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ กฎระเบียบขององค์กรต่าง ๆ ในด้านข้อมูลที่ผ่อนคลายลง ความเร็วในการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนที่ถูกลง
3. การเตรียม Infrastructure ให้พร้อมกับการมาของ AI
และอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจใน Session นี้ก็คือ การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ให้พร้อมกับการมาของ AI
เพราะอย่างที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า AI ต้องอาศัยการประมวลผลที่ทรงพลังมาก ๆ ส่งผลต่อทั้ง Infrastructure ที่จำเป็นต้องใช้ รวมถึงทรัพยากรไฟฟ้า และน้ำสะอาด
ทำให้ในช่วงนี้เราได้เห็นการพัฒนานวัตกรรมหลากหลายรูปแบบ เพื่อรองรับกับการเติบโตของ AI โดยเฉพาะ
ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนา TPU (Tensor Processing Unit) ของ Google ที่ใช้ในการประมวลผล AI โดยเฉพาะ ทดแทนการประมวลผล AI ด้วย GPU (Graphics Processing Unit)
รวมถึงยังมีแนวคิด GPU as a Service เพื่อแชร์ทรัพยากรของ GPU ร่วมกัน เพื่อประมวลผล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หรือแนวคิดการพัฒนา vLLM (Virtual Large Language Model) หรือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดเล็กลง ทำให้ประมวลผลโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Driving the Agricultural Industry Forward with Al in the Age of Agri-Food Tech
ไปต่อกันที่ Session ที่ 3 ที่เราจะพาไปเจาะลึกกันในโพสต์นี้ก็คือ Session ที่ชื่อว่า Driving the Agricultural Industry Forward with Al in the Age of Agri-Food Tech
โดยคุณธีรพงษ์ วิชญเรืองรมย์ รองกรรมการผู้จัดการ ด้าน Strategic and Digital Transformation ของ AXONS
ใน Session นี้ จะมุ่งเน้นไปที่ความท้าทายของอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารในประเทศไทย และการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา เพิ่มผลผลิตให้กับอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารในประเทศไทย
เริ่มต้นกันด้วย การปูพื้นว่า อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารในประเทศไทย กำลังเจอกับความท้าทายในด้านใดบ้าง
4 ความท้าทาย อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารในไทย
1. ความท้าทายด้านการจัดการ
อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร ใช้ระยะเวลาการผลิตที่ยาวนาน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูก การแปรรูป ไปจนถึงการขนส่ง ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดอาจใช้เวลานานหลายเดือน
2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพอากาศ
อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร จำเป็นต้องพึ่งพาสภาพอากาศสูง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ส่งผลต่อผลผลิตโดยตรง
3. การขยายตัวของเขตเมือง
ทำให้พื้นที่การเพาะปลูก หรือเลี้ยงสัตว์ลดลง รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มทำงานในอุตสาหกรรมอื่นมากกว่า
4. นโยบายทางการค้า
โดยเฉพาะนโยบายภาษี ที่ทำให้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ในการนำเข้าและการส่งออกสินค้า ส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
นอกจากนี้ คุณธีรพงษ์ ยังได้พูดถึงยูสเคสจริงของการใช้งานเทคโนโลยีแขนงต่าง ๆ กับอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร ที่น่าสนใจไว้หลายยูสเคสด้วยกัน ตัวอย่างเช่น
- การใช้เทคโนโลยี Computer Vision วัดขนาดกุ้งในบ่อเลี้ยง
โดยใช้ AI ที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ เพื่อวัดขนาดของกุ้งภายในบ่อ ช่วยตรวจสอบและแยกของเสียออกจากอาหารกุ้งที่ปะปนกัน
ทำให้ผู้เลี้ยงกุ้งสามารถให้อาหารกุ้งในปริมาณที่เหมาะสม และยังช่วยลดโอกาสการปนเปื้อนเชื้อโรคต่าง ๆ จากคน ที่อาจทำให้เกิดโรคระบาดในกุ้งได้
- การใช้ Generative AI เป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์
ช่วยแก้ไขปัญหาสัตวแพทย์ขาดแคลน คัดกรองอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นของสัตว์ได้ด้วยตัวเอง พร้อมระบุแนวทางการรักษา และการป้องกันเบื้องต้น ช่วยลดอัตราการสูญเสียได้ดีขึ้น
- การใช้ AI พยากรณ์อัตราการเสื่อมสภาพของเครื่องจักร
ช่วยแจ้งเตือนการบำรุงรักษาเครื่องจักรโดยอัตโนมัติ เป็นการซ่อมบำรุงเครื่องจักรในเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพื่อป้องกันเครื่องจักรเสียหาย จนเกิดการหยุดชะงักในกระบวนการผลิต
- การใช้ AI จัดการระบบโลจิสติกส์ อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น การทำ Route Optimization จัดการเส้นทางขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในด้านระยะเวลา ต้นทุน และรักษาคุณภาพของอาหารให้สดใหม่มากที่สุด ก่อนถึงมือผู้บริโภค
- การใช้ AI ช่วยคาดการณ์แนวโน้มการเพาะปลูก
ไม่ว่าจะเป็นการดูพยากรณ์อากาศ อุณหภูมิ ความชื้น และทิศทางลม เพื่อวางแผนกิจกรรมการเพาะปลูก เช่น การใส่ปุ๋ย ให้ได้ผลผลิตในปริมาณที่สูงขึ้น และมีคุณภาพของผลผลิตที่ดีขึ้น
- Beyond Uptime: Delivering Flawless Digital Journeys with Al-Powered Observability for Humanity
มาถึง Session สุดท้ายที่เราจะพาไปเจาะลึกกันในโพสต์นี้ ก็คือ Session ที่ชื่อว่า Beyond Uptime: Delivering Flawless Digital Journeys with Al-Powered Observability for Humanity โดยคุณ ณรงค์ฤทธิ์ อินหว่าง Solution Engineer จาก Dynatrace
ใน Session นี้ Dynatrace ให้ความสำคัญกับยูสเคสการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชัน ที่บริษัทให้บริการกับลูกค้า ทั้งในส่วนของ Frontend และ Backend
เพราะแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันหนึ่งตัว มีระบบหลังบ้านที่เชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อน AI จึงเข้ามามีบทบาททำหน้าที่เป็นผู้ดูแล และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้การให้บริการลูกค้ามีความต่อเนื่องไม่สะดุด
โดยตัวอย่างของยูสเคสจริงที่ AI ของ Dynatrace สามารถทำได้ ก็มีทั้ง
- การใช้ AI เป็นระบบ Automation คอยตรวจสอบปัญหา และคอขวดที่อาจเกิดขึ้นในระบบ
- วิเคราะห์ และค้นหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
- วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าบนแพลตฟอร์ม ว่าใช้ฟีเชอร์อะไรมากที่สุด
- รักษา Performance ของแพลตฟอร์มให้ทำงานรวดเร็วที่สุด เพื่อป้องกันลูกค้าหลุดออกจากระบบ จากปัญหาการใช้งาน
โดย AI ของ Dynatrace สามารถสร้างภาพจำลองได้โดยอัตโนมัติเลยว่า แพลตฟอร์มของเรามีจุดอ่อนอย่างไร ต้องแก้ไขอย่างไร และหากแก้ไขแล้ว จะสร้างผลดีต่อธุรกิจอย่างไร
เช่น หากเว็บไซต์ดาวน์โหลดช้าไป 4.6 วินาที จะทำให้บริษัทเสี่ยงสูญเสียลูกค้าไป 27,000 คน พร้อมทั้งวิเคราะห์วิธีการแก้ไขปัญหา โดยสามารถแนะนำวิธีการที่ง่ายที่สุด และส่งผลกระทบต่อระบบให้น้อยที่สุดได้
และที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือ “Community Circle” ซึ่งเป็นโซนใหม่ล่าสุดของงานในปีนี้
ที่ชวนผู้เข้าร่วมงานทุกคนล้อมวงแบบสบาย ๆ แลกเปลี่ยนความคิด มุมมอง พัฒนาทักษะ รับมือกับการใช้งานเทคโนโลยี AI ที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
เราขอยก Community Circle ที่น่าสนใจ มาให้อ่านเป็นน้ำจิ้ม ดังนี้
- How to Survive the Apocalypse? Life, Philosophy and Practical Skills
Community Circle นี้ ว่าด้วยเรื่องทักษะที่จำเป็น หากอยากเอาตัวรอดจาก AI โดยคุณทอย-กษิดิศ สตางค์มงคล ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และเจ้าของเพจ DataRockie
ใน Community Circle นี้ เริ่มต้นด้วยการทำให้ทุกคนเห็นภาพตรงกันว่า ในวันนี้ AI อาจยังไม่สามารถแทนที่คนได้ 100%
แต่ในอีก 5 ปี 10 ปี หรือแม้แต่ 20 ปีข้างหน้า ไม่มีใครรู้อนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เพราะ AI มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา
คำแนะนำจากคุณทอย ทำอย่างไรให้รับมือกับ AI ได้ ? เราขอสรุปคำแนะนำจากคุณทอย ออกมาเป็นข้อแบบสั้น ๆ ดังนี้
1. AI เรียนรู้จากภาษาทั่วโลก ดังนั้นภาษาจึงสำคัญมาก ๆ
AI เรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ จากภาษาทั่วโลก และภาษานี้เองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AI ฉลาด
ดังนั้นคนแบบเราก็ควรเรียนรู้จากภาษาเช่นกัน โดยเฉพาะการอ่านหนังสือ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล และความรู้ต่าง ๆ
2. นิยามของคำว่า “งาน” อาจเปลี่ยนไป
คุณทอยแนะนำว่า เราทุกคนควรเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อคำว่า “งาน” และการทำงานเสียใหม่ เพราะ AI อาจทำให้ตลาดแรงงานหายไป
ดังนั้น งานในอนาคต อาจไม่ใช่การทำงานในบริษัท เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ควรโฟกัสไปที่ทักษะที่จำเป็น เช่น ทักษะการหางาน ทักษะการหาเงิน และการออกแบบกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ (System Thinking)
- How Ready is Your Team for Al and Automation?
อีกหนึ่ง Community Circle ที่เราจะพาไปเจาะลึกกัน ก็คือ How Ready is Your Team for Al and Automation? ที่ว่าด้วยการเปิดมุมมอง พูดคุยเรื่องการใช้ Automation และ AI ภายในองค์กรแบบง่าย ๆ
โดยคุณบริวัตร จันทร์เรือง เจ้าของกลุ่ม No code AI - เอไอไม่ต้องโค้ด บน Facebook
ซึ่งคุณบริวัตรได้แชร์ยูสเคส การใช้ AI Automation ทำงานแทนคนใน Workflow ต่าง ๆ ขององค์กร
ทั้งการใช้ AI Automation เขียนบทความ หรือทำคอนเทนต์โดยอัตโนมัติ โดยเริ่มจากการกำหนดให้ AI ค้นหาข้อมูลบน ChatGPT ก่อน แล้วนำไปเรียบเรียงต่อด้วย Perplexity และเมื่อเสร็จแล้ว ให้นำไปตั้งเวลาโพสต์ลง Facebook ได้โดยอัตโนมัติ
โดยไม่จำเป็นต้องใช้คนในการทำงานตาม Workflow นี้เลย
ซึ่งนอกจากการใช้ AI Automation ที่สามารถทำงานแทนคนใน Workflow ต่าง ๆ ขององค์กรได้แล้ว คุณบริวัตรยังได้แชร์ Framework ช่วยตัดสินใจ ก่อนเริ่มนำ AI Automation เข้ามาใช้ในองค์กร
เป็นเหมือนเช็กลิสต์ ที่องค์กรต้องตอบคำถามจำนวน 6 ข้อ เหล่านี้ให้ได้ก่อน ได้แก่
1. เป้าหมายของการนำ AI มาใช้งาน คืออะไร เช่น อยากลดต้นทุน หรืออยากได้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ
2. องค์กรมีข้อมูลอะไร ที่จะสามารถนำมา Plug-in เข้ากับ AI ได้บ้าง หากไม่มีข้อมูลมากพอ ให้ใช้ Generative AI สำเร็จรูป เช่น ChatGPT ก็อาจเพียงพอแล้ว
3. ทีมงาน ที่จำเป็นต้องใช้ AI Automation มีใครบ้าง
4. ค่าใช้จ่าย ของการนำ AI Automation มาใช้งาน คิดเป็นจำนวนเงินเท่าใด
5. จะมีการวัดผล หรือ KPI จากการใช้งาน AI Automation อย่างไร
6. จะใช้เทคโนโลยีตัวใด เพื่อทำ AI Automation ขององค์กร และ AI Automation นั้น ต้องเชื่อมต่อกับ Tools อะไรบ้าง
นอกจาก Session และ Community Circle แล้ว ในงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning ยังมี Booth ต่าง ๆ ที่น่าสนใจอีกเป็นจำนวนมาก
เริ่มจาก Booth ของ KBTG ที่นำโปรดักต์ต่าง ๆ ของตัวเอง มาเป็นโชว์เคสทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำ ๆ จากฝีมือการพัฒนาของทีมงานคนไทย ตัวอย่างเช่น
- แอปพลิเคชันเหมียวจด
แอปพลิเคชันจัดการรายรับ-รายจ่าย จดบันทึกอัตโนมัติด้วยสลิปโอนเงิน พร้อมฟีเชอร์วิเคราะห์ และสรุปการใช้จ่ายเงินของผู้ใช้งานแต่ละคน แยกตามหมวดหมู่ให้เข้าใจแบบง่าย ๆ
- แอปพลิเคชัน MAKE by KBank
แอปพลิเคชันที่รวมเอาฟีเชอร์การจัดการเงิน และการทำธุรกรรมต่าง ๆ ไว้ในที่เดียวกันอย่างลงตัว พร้อมฟีเชอร์เด็ดอย่าง Cloud Pocket ที่ใช้แยก “กระเป๋าเงิน” ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
- THaLLE
โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ที่พัฒนาขึ้นโดย KBTG มีจุดเด่นที่ความเชี่ยวชาญทั้งในด้านภาษาไทย และด้านการเงินโดยเฉพาะ
จึงเหมาะกับการนำไปใช้เป็นโมเดลสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน หรือความเสี่ยง ซึ่งมีความซับซ้อนสูงได้
- Chat Agents
แช็ตบอตด้านการเงิน ที่มีโมเดลภาษาขนาดใหญ่ THaLLE อยู่เบื้องหลัง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถาม-ตอบ ข้อมูลด้านการเงินได้อย่างรวดเร็ว
- AssetMind
ผลงาน AI ของ KBTG Labs ที่พัฒนาเทคโนโลยี AI สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ เช่น AI-Powered Interior Visualization ที่สามารถจำลองการตกแต่งที่พักอาศัยได้อย่างสมจริง
หรือ Intelligent Property Valuation ที่สามารถประเมินมูลค่าทรัพย์สินได้อย่างแม่นยำ ลดการใช้เวลา และทรัพยากรบุคคลได้
รวมถึง Booth ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่มาร่วมเปิดพื้นที่แชร์ยูสเคส การใช้งานเทคโนโลยีแบบเจ๋ง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- Orbix
- KX
- TiDB
- PromptX
- Akamai
- IBM
- Google Cloud
- Microsoft
และในส่วนสุดท้ายของงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning ยังมี Playground Workshop ที่น่าสนใจ ให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคน สามารถคิด และลงมือทำได้จริง กับผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ตัวอย่างเช่น
- How to Start a Startup
Playground Workshop ที่จะพาไปเจาะลึก การก่อตั้งธุรกิจ “สตาร์ตอัป” ตั้งแต่การคิดไอเดีย จนถึงการนำเสนอไอเดียนั้นกับนักลงทุน
พร้อมกับแจกเทมเพลตแบบง่าย ๆ สำหรับสร้างโมเดลธุรกิจสตาร์ตอัปให้แข็งแกร่ง ตั้งแต่อยู่ในกระดาษ ให้ลงมือทำจริงอย่างแม่นยำ
- Designing Next Generation Human-AI Systems For Human Flourishing
Playground Workshop ระดับ Beginner Friendly ที่จะพาทุกคนไปเจาะลึกถึงแนวคิดการพัฒนา AI โดยมีมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง
บนหลักคิดที่ว่า AI ไม่ได้มีไว้เพื่อทำงานแทนคน แต่มีไว้เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สุขภาพจิต การศึกษา และการพัฒนาตนเอง
และทั้งหมดนี้ คือไฮไลต์ที่น่าสนใจของงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning ที่เราพามาเจาะลึกกันในโพสต์นี้ ครบทั้งประเด็นทางด้าน Tech และ AI
หากใครที่พลาดงาน KBTG Techtopia: At World's Beginning ในปีนี้ ก็ไม่ต้องเสียดาย เพราะในอนาคต KBTG จะมีงานดี ๆ แบบนี้อีกแน่นอน..
#KBTG
#KBTGTechtopia
#AtWorldsBeginning
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.