แจก 20 คำสั่ง ใช้ ChatGPT ช่วยคำนวณ “ตัวชี้วัดทางการตลาด” ในจักรวาล Online Marketing แค่เปลี่ยนตัวเลข ก็ใช้ได้เลย

แจก 20 คำสั่ง ใช้ ChatGPT ช่วยคำนวณ “ตัวชี้วัดทางการตลาด” ในจักรวาล Online Marketing แค่เปลี่ยนตัวเลข ก็ใช้ได้เลย

22 ก.ย. 2025
0. วิธีใช้ เพียงแค่คัดลอกคำสั่งไปวางในช่องแช็ตของ ChatGPT แล้วเปลี่ยนตัวเลขที่อยู่ในเครื่องหมาย “[ ]” เพื่อใช้คำนวณผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้เลย
อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดส่วนใหญ่ แบรนด์จะต้องมีการจัดเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง เช่น
- ข้อมูลหลังบ้านบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, YouTube
- เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ตัวเลข เช่น Google Analytics
- เก็บข้อมูลผ่านระบบ CRM หรือ Data Dashboard ที่สามารถดึงสถิติของแคมเปญต่าง ๆ ได้
เมื่อได้ตัวเลข และนำมาปรับเปลี่ยนในคำสั่งแล้ว
เมื่อนำเข้า ChatGPT ในแต่ละคำสั่ง จะระบุให้แสดง “สูตรการคำนวณ” เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่า ChatGPT เข้าใจ และสามารถคำนวณได้อย่างถูกต้องจริง ๆ
____________________
1. Audience Growth Rate
ใช้วัดสัดส่วนของจำนวนผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น ในช่วงระยะเวลาที่แบรนด์กำหนด เช่น รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี
ซึ่งจะดูว่าตัวชี้วัดนี้ดีหรือไม่ดีนั้น ไม่มีเกณฑ์ตายตัว แต่สามารถเปรียบเทียบได้กับอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ติดตามในช่วงเวลาใกล้เคียง เช่น เดือนก่อนหน้า ไตรมาสก่อนหน้า เพื่อดูว่าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นหรือลดลง
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Audience Growth Rate จากข้อมูลจำนวนผู้ติดตาม ดังนี้
- จำนวนผู้ติดตามใหม่ที่เพิ่มขึ้น [500] บัญชี
- จำนวนผู้ติดตามที่มีทั้งหมด [10,000] บัญชี
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
2. Cost Per Mille (CPM)
ใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อโฆษณาที่ถูกแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง
โดยทั่วไป ตัวชี้วัดยิ่งมีค่าต่ำก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า แบรนด์สามารถใช้เงินน้อยลง เพื่อให้โฆษณาถูกแสดงผลครบ 1,000 ครั้งได้
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Cost Per Mille (CPM) ที่ใช้ในการโฆษณา จากข้อมูล
- ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาทั้งหมด [5,000] บาท
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของโฆษณา [200,000] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
3. Share of Voice (SOV)
ใช้ในการวัดว่า แบรนด์ของเราได้รับการพูดถึงมากเพียงใด เมื่อเทียบกับแบรนด์ของคู่แข่ง
โดย Share of Voice ไม่จำเป็นต้องคำนวณจากการที่แบรนด์ถูกกล่าวถึงเพียงอย่างเดียว
แต่สามารถคำนวณ Share of Voice ของ Reach หรือ Impression ที่แบรนด์ได้รับ, จำนวนคอมเมนต์, Traffic ที่เข้าเว็บไซต์ หรือจำนวนการค้นหาใน Google ก็ได้ แล้วแต่ว่าแบรนด์ต้องการหา SOV ในรูปแบบใด
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Share of Voice (SOV) ของแบรนด์จากข้อมูล
- จำนวนครั้งที่แบรนด์ของเราถูกกล่าวถึง (Brand Mentions): [200] ครั้ง
- จำนวนครั้งที่แบรนด์ทั้งหมดในตลาดถูกกล่าวถึง (Total Market Mentions): [1,000] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
4. Engagement Rate
ใช้เพื่อคำนวณว่า ผู้ที่เห็นคอนเทนต์ของแบรนด์เราบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook มีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์นั้น ๆ เช่น การกดรีแอกชัน คอมเมนต์ หรือแชร์ มากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดตามทั้งหมดของแบรนด์
ซึ่งยิ่งมี Engagement Rate สูง แสดงว่าผู้ติดตามมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์นั้น ๆ ของแบรนด์สูง และอาจตีความได้ว่า คอนเทนต์นั้น ๆ มีความน่าสนใจในสายตาของผู้ติดตามนั่นเอง
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Engagement Rate ของโพสต์ จากข้อมูล Engagement ดังนี้
- จำนวน Engagement ทั้งหมด [800] ครั้ง
- จำนวนผู้ติดตามทั้งหมด [20,000] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
5. Virality Rate
ใช้เพื่อคำนวณว่า คอนเทนต์ของแบรนด์เป็น “ไวรัล” มากแค่ไหน โดยวัดจากจำนวนครั้งที่คอนเทนต์ถูกแชร์ เทียบกับจำนวนครั้งที่คอนเทนต์ถูกมองเห็น
ซึ่งจะดูว่าตัวชี้วัดนี้ดีหรือไม่ดีนั้น ไม่มีเกณฑ์ตายตัว แต่สามารถเปรียบเทียบได้กับอัตราการเป็นไวรัลของคอนเทนต์ตัวอื่น ๆ
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Virality Rate ของคอนเทนต์ จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนแชร์ทั้งหมดของคอนเทนต์ [200] ครั้ง
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของคอนเทนต์ [10,000] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
6. Click-Through Rate (CTR)
ใช้เพื่อคำนวณว่า คอนเทนต์ที่แบรนด์ลงไป ทำให้มีกลุ่มเป้าหมายคลิกลิงก์ที่แบรนด์ต้องการ มากน้อยเพียงใด เช่น กดลิงก์สำหรับสั่งซื้อสินค้า หรือกดลิงก์เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลสินค้าอย่างละเอียด
ซึ่งจะดูว่าตัวชี้วัดนี้ดีหรือไม่ดีนั้น ไม่มีเกณฑ์ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับประเภทแคมเปญ คอนเทนต์ และแพลตฟอร์ม แต่โดยทั่วไป ค่า CTR ยิ่งสูงก็ยิ่งดี
โดยวิธีเปรียบเทียบค่า CTR ง่าย ๆ ว่าดีหรือไม่ดี คือ เปรียบเทียบกับแคมเปญก่อนหน้า หรือเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์ม
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Click-Through Rate (CTR) จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนคลิกทั้งหมดของคอนเทนต์ [200] ครั้ง
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของคอนเทนต์ [10,000] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
7. Amplification Rate
ใช้คำนวณว่าคอนเทนต์ของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย เช่น บน Facebook ได้รับความสนใจจากผู้ติดตามมากน้อยเพียงใด โดยจะวัดจากจำนวนแชร์ของคอนเทนต์เป็นหลัก
โดยค่า Amplification Rate ยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ติดตามช่วยกระจายคอนเทนต์ให้แบรนด์
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Amplification Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนแชร์ทั้งหมดของคอนเทนต์ [500] ครั้ง
- จำนวนผู้ติดตามทั้งหมดของแบรนด์ [20,000] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
8. Video Completion Rate (VCR)
ใช้คำนวณว่าคลิปวิดีโอของแบรนด์มีความน่าสนใจ จนมีผู้รับชมจนจบมากน้อยเพียงใด ช่วยให้แบรนด์สามารถนำข้อมูลนี้ไปวางแผนทำคอนเทนต์ประเภทคลิปวิดีโอตัวอื่น ๆ ได้
โดยค่า VCR ยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า วิดีโอของแบรนด์มีความน่าสนใจ จึงทำให้ผู้ชมรับชมจนจบ
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Video Completion Rate (VCR) จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนคนดูคลิปวิดีโอจนจบ [100] คน
- จำนวนคนดูคลิปวิดีโอทั้งหมด [1,000] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
9. Conversion Rate
ใช้คำนวณว่า แบรนด์สามารถเปลี่ยน “กลุ่มเป้าหมาย” ให้กลายเป็น “ลูกค้า” ได้มากน้อยเพียงใด
ซึ่งคำว่า Conversion หมายถึง การกระทำของลูกค้าที่แบรนด์ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียนแสดงความสนใจ หรือการจองคิวในระบบ
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Conversion Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวน Conversion ทั้งหมดที่ได้รับ [500] คน
- จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด [1,500] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
10. Cost Per Click (CPC)
ใช้ในการคำนวณหาต้นทุนในการโฆษณาของแบรนด์ เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายคลิกลิงก์ที่แบรนด์ต้องการ โดยจะคำนวณเป็น “ต้นทุนต่อ 1 คลิก”
ซึ่งตัวชี้วัดนี้ ยิ่งมีค่าต่ำก็ยิ่งดี เพราะหมายถึง แบรนด์สามารถใช้เงินน้อย เพื่อสร้างคลิกได้มาก
ทั้งนี้ ค่า CPC ควรเป็นเท่าไรนั้น ไม่มีเกณฑ์ตายตัว แต่สามารถเปรียบเทียบได้กับ CPC ของแคมเปญก่อนหน้า เพื่อดูว่า คุ้มค่ามากขึ้นหรือลดลง
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Cost Per Click (CPC) จากข้อมูลดังนี้
- ต้นทุนในการโฆษณา [10,000] บาท
- จำนวนคลิกทั้งหมดของโฆษณา [2,500] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
11. Cost Per Conversion
ใช้ในการคำนวณ ต้นทุนของแบรนด์เพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้า 1 คน
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Cost Per Conversion จากข้อมูลดังนี้
- ต้นทุนในการโฆษณา [10,000] บาท
- จำนวนลูกค้าใหม่ที่ได้มา [100] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
12. Return on Advertising Spend (ROAS)
ใช้ในการคำนวณ ผลตอบแทนจากการโฆษณาว่า โฆษณาที่แบรนด์ลงทุนไปนั้น คุ้มค่าหรือไม่
โดยที่ ROAS ที่ได้ออกมา จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
- หาก ROAS ที่ได้มากกว่า 100%
แสดงว่า ธุรกิจสร้างรายได้จากการโฆษณาได้ “มากกว่า” ค่าใช้จ่ายที่เสียไป
- หาก ROAS ที่ได้น้อยกว่า 100%
แสดงว่า ธุรกิจสร้างรายได้จากการโฆษณาได้ “น้อยกว่า” ค่าใช้จ่ายที่เสียไป
ส่วนตัวเลขที่ออกมานั้น อาจบอกไม่ได้ตรง ๆ ว่า มากหรือน้อย
แต่จะบอกได้เมื่อมีการเอาไปเปรียบเทียบกับโฆษณาอื่น ๆ ที่เราเคยทำมา หรือโฆษณาที่ใกล้เคียงกัน
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Return on Advertising Spend (ROAS) จากข้อมูลดังนี้
- รายได้ที่ได้รับจากการโฆษณา [25,000] บาท
- ต้นทุนในการโฆษณา [5,000] บาท
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
13. Customer Lifetime Value (CLTV)
ใช้ในการคำนวณมูลค่าที่ลูกค้า 1 คน สร้างให้กับแบรนด์ ตลอดระยะเวลาการเป็นลูกค้าที่แบรนด์กำหนดขึ้น
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Customer Lifetime Value (CLTV) จากข้อมูลดังนี้
- มูลค่าเฉลี่ยต่อการสั่งซื้อสินค้า 1 ครั้ง [570] บาท
- จำนวนครั้งที่ซื้อสินค้าโดยเฉลี่ย [5] ครั้ง
- ระยะเวลาเฉลี่ยของการเป็นลูกค้า [5] ปี
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
14. Cart Abandonment Rate
ใช้ในการคำนวณ สัดส่วนของลูกค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่กดเพิ่มสินค้าใส่ลงในตะกร้า แต่กลับไม่ได้ซื้อสินค้านั้นจริง
โดยค่า Cart Abandonment Rate ยิ่งต่ำก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า แบรนด์สามารถปิดการขายมากขึ้น
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Cart Abandonment Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนสินค้าที่ถูกกดเพิ่มใส่ลงในตะกร้าทั้งหมด [70] ตะกร้า
- จำนวนสินค้าที่ถูกซื้อจริง [50] ตะกร้า
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
15. Customer Retention Rate
ใช้ในการคำนวณว่า แบรนด์มีความสามารถในการรักษาลูกค้าเก่าไว้ได้มากน้อยเพียงใด ในช่วงกรอบเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ช่วงต้นไตรมาส 1 เทียบกับปลายไตรมาส 1, ช่วงปี 2566 เทียบกับปี 2567
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Customer Retention Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนลูกค้าเก่าที่มีในช่วงต้นกรอบเวลา [150] คน
- จำนวนลูกค้าใหม่ที่หาได้ [50] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มีในช่วงปลายกรอบเวลา [120] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
16. Repeat Purchase Rate
ใช้ในการคำนวณ อัตราการซื้อสินค้าซ้ำของลูกค้า เมื่อเทียบกับจำนวนลูกค้าทั้งหมดของแบรนด์ ซึ่งตัวเลขนี้ ยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า ธุรกิจของเราทำให้ลูกค้าประทับใจจนกลับมาซื้อซ้ำ ๆ
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Repeat Purchase Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
- จำนวนลูกค้าที่ซื้อสินค้าซ้ำ [1,200] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
17. Customer Churn Rate
ใช้ในการคำนวณ อัตราการสูญเสียลูกค้าเก่าของแบรนด์ ในช่วงกรอบเวลาที่แบรนด์กำหนดขึ้น ซึ่งยิ่งคำนวณออกมาได้ค่าน้อย แสดงว่าแบรนด์สามารถรักษาลูกค้าเก่าได้ดี
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Customer Churn Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนลูกค้าที่เสียไป [150] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
18. Customer Referral Rate
ใช้ในการคำนวณว่า ลูกค้าเก่าแนะนำ บอกต่อสินค้า หรือบริการของแบรนด์ มากน้อยเพียงใด
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Customer Referral Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนลูกค้าที่แนะนำ หรือบอกต่อสินค้า [250] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
19. Average Review Rating
ใช้ในการคำนวณ คะแนนเฉลี่ยจากการรีวิวสินค้า หรือบริการของลูกค้า บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อทำให้แบรนด์รู้ว่าควรปรับปรุงสินค้า หรือบริการอย่างไร เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่คะแนนมักเป็นตัวเลข 1-5 คะแนน
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Average Review Rating จากข้อมูลดังนี้
- คะแนนจากการรีวิวสินค้าทั้งหมดรวมกัน [209] คะแนน
- จำนวนครั้งที่ลูกค้ารีวิวสินค้าทั้งหมด [56] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
20. Net Promoter Score (NPS)
เป็นตัวชี้วัดความพึงพอใจและความภักดี ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ ด้วยการดูแนวโน้มว่า ลูกค้าอยากแนะนำสินค้า หรือบริการของแบรนด์ ให้คนอื่นรู้จักหรือไม่
ผ่านการตอบคำถามง่าย ๆ เพียงข้อเดียว คือ “คุณจะแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการ ให้เพื่อนหรือคนใกล้ตัวหรือไม่” แล้วให้ลูกค้าตอบคำถามผ่านการให้คะแนนตั้งแต่ 0-10 คะแนน
จากนั้นก็นำข้อมูลที่ได้ไปจัดกลุ่มลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- ลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ (Promoters) คือ ลูกค้าที่ให้คะแนน 9-10 คะแนน
- ลูกค้าทั่วไป (Passives) คือ ลูกค้าที่ให้คะแนน 7-8 คะแนน
- ลูกค้าที่ไม่พึงพอใจ (Detractors) คือ ลูกค้าที่ให้คะแนน 0-6 คะแนน
แล้วนำจำนวนลูกค้าในแต่ละกลุ่มมาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ เพื่อนำมาใช้กับสูตรในการคำนวณ NPS
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Net Promoter Score (NPS) จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด [100] คน
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็น Promoters [70] คน
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็น Detractors [30] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.