
แจก 20 คำสั่ง ใช้ ChatGPT ช่วยคำนวณ “ตัวชี้วัดทางการตลาด” ในจักรวาล Online Marketing แค่เปลี่ยนตัวเลข ก็ใช้ได้เลย
22 ก.ย. 2025
0. วิธีใช้ เพียงแค่คัดลอกคำสั่งไปวางในช่องแช็ตของ ChatGPT แล้วเปลี่ยนตัวเลขที่อยู่ในเครื่องหมาย “[ ]” เพื่อใช้คำนวณผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้เลย
อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดส่วนใหญ่ แบรนด์จะต้องมีการจัดเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง เช่น
- ข้อมูลหลังบ้านบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, YouTube
- เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ตัวเลข เช่น Google Analytics
- เก็บข้อมูลผ่านระบบ CRM หรือ Data Dashboard ที่สามารถดึงสถิติของแคมเปญต่าง ๆ ได้
เมื่อได้ตัวเลข และนำมาปรับเปลี่ยนในคำสั่งแล้ว
เมื่อนำเข้า ChatGPT ในแต่ละคำสั่ง จะระบุให้แสดง “สูตรการคำนวณ” เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่า ChatGPT เข้าใจ และสามารถคำนวณได้อย่างถูกต้องจริง ๆ
เมื่อนำเข้า ChatGPT ในแต่ละคำสั่ง จะระบุให้แสดง “สูตรการคำนวณ” เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่า ChatGPT เข้าใจ และสามารถคำนวณได้อย่างถูกต้องจริง ๆ
____________________
1. Audience Growth Rate
ใช้วัดสัดส่วนของจำนวนผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น ในช่วงระยะเวลาที่แบรนด์กำหนด เช่น รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี
ซึ่งจะดูว่าตัวชี้วัดนี้ดีหรือไม่ดีนั้น ไม่มีเกณฑ์ตายตัว แต่สามารถเปรียบเทียบได้กับอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ติดตามในช่วงเวลาใกล้เคียง เช่น เดือนก่อนหน้า ไตรมาสก่อนหน้า เพื่อดูว่าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นหรือลดลง
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Audience Growth Rate จากข้อมูลจำนวนผู้ติดตาม ดังนี้
- จำนวนผู้ติดตามใหม่ที่เพิ่มขึ้น [500] บัญชี
- จำนวนผู้ติดตามที่มีทั้งหมด [10,000] บัญชี
- จำนวนผู้ติดตามใหม่ที่เพิ่มขึ้น [500] บัญชี
- จำนวนผู้ติดตามที่มีทั้งหมด [10,000] บัญชี
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
2. Cost Per Mille (CPM)
ใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อโฆษณาที่ถูกแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง
โดยทั่วไป ตัวชี้วัดยิ่งมีค่าต่ำก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า แบรนด์สามารถใช้เงินน้อยลง เพื่อให้โฆษณาถูกแสดงผลครบ 1,000 ครั้งได้
โดยทั่วไป ตัวชี้วัดยิ่งมีค่าต่ำก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า แบรนด์สามารถใช้เงินน้อยลง เพื่อให้โฆษณาถูกแสดงผลครบ 1,000 ครั้งได้
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Cost Per Mille (CPM) ที่ใช้ในการโฆษณา จากข้อมูล
- ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาทั้งหมด [5,000] บาท
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของโฆษณา [200,000] ครั้ง
- ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาทั้งหมด [5,000] บาท
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของโฆษณา [200,000] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
3. Share of Voice (SOV)
ใช้ในการวัดว่า แบรนด์ของเราได้รับการพูดถึงมากเพียงใด เมื่อเทียบกับแบรนด์ของคู่แข่ง
โดย Share of Voice ไม่จำเป็นต้องคำนวณจากการที่แบรนด์ถูกกล่าวถึงเพียงอย่างเดียว
แต่สามารถคำนวณ Share of Voice ของ Reach หรือ Impression ที่แบรนด์ได้รับ, จำนวนคอมเมนต์, Traffic ที่เข้าเว็บไซต์ หรือจำนวนการค้นหาใน Google ก็ได้ แล้วแต่ว่าแบรนด์ต้องการหา SOV ในรูปแบบใด
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Share of Voice (SOV) ของแบรนด์จากข้อมูล
- จำนวนครั้งที่แบรนด์ของเราถูกกล่าวถึง (Brand Mentions): [200] ครั้ง
- จำนวนครั้งที่แบรนด์ทั้งหมดในตลาดถูกกล่าวถึง (Total Market Mentions): [1,000] ครั้ง
- จำนวนครั้งที่แบรนด์ของเราถูกกล่าวถึง (Brand Mentions): [200] ครั้ง
- จำนวนครั้งที่แบรนด์ทั้งหมดในตลาดถูกกล่าวถึง (Total Market Mentions): [1,000] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
4. Engagement Rate
ใช้เพื่อคำนวณว่า ผู้ที่เห็นคอนเทนต์ของแบรนด์เราบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook มีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์นั้น ๆ เช่น การกดรีแอกชัน คอมเมนต์ หรือแชร์ มากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดตามทั้งหมดของแบรนด์
ซึ่งยิ่งมี Engagement Rate สูง แสดงว่าผู้ติดตามมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์นั้น ๆ ของแบรนด์สูง และอาจตีความได้ว่า คอนเทนต์นั้น ๆ มีความน่าสนใจในสายตาของผู้ติดตามนั่นเอง
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Engagement Rate ของโพสต์ จากข้อมูล Engagement ดังนี้
- จำนวน Engagement ทั้งหมด [800] ครั้ง
- จำนวนผู้ติดตามทั้งหมด [20,000] คน
- จำนวน Engagement ทั้งหมด [800] ครั้ง
- จำนวนผู้ติดตามทั้งหมด [20,000] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
5. Virality Rate
ใช้เพื่อคำนวณว่า คอนเทนต์ของแบรนด์เป็น “ไวรัล” มากแค่ไหน โดยวัดจากจำนวนครั้งที่คอนเทนต์ถูกแชร์ เทียบกับจำนวนครั้งที่คอนเทนต์ถูกมองเห็น
ซึ่งจะดูว่าตัวชี้วัดนี้ดีหรือไม่ดีนั้น ไม่มีเกณฑ์ตายตัว แต่สามารถเปรียบเทียบได้กับอัตราการเป็นไวรัลของคอนเทนต์ตัวอื่น ๆ
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Virality Rate ของคอนเทนต์ จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนแชร์ทั้งหมดของคอนเทนต์ [200] ครั้ง
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของคอนเทนต์ [10,000] ครั้ง
- จำนวนแชร์ทั้งหมดของคอนเทนต์ [200] ครั้ง
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของคอนเทนต์ [10,000] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
6. Click-Through Rate (CTR)
ใช้เพื่อคำนวณว่า คอนเทนต์ที่แบรนด์ลงไป ทำให้มีกลุ่มเป้าหมายคลิกลิงก์ที่แบรนด์ต้องการ มากน้อยเพียงใด เช่น กดลิงก์สำหรับสั่งซื้อสินค้า หรือกดลิงก์เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลสินค้าอย่างละเอียด
ซึ่งจะดูว่าตัวชี้วัดนี้ดีหรือไม่ดีนั้น ไม่มีเกณฑ์ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับประเภทแคมเปญ คอนเทนต์ และแพลตฟอร์ม แต่โดยทั่วไป ค่า CTR ยิ่งสูงก็ยิ่งดี
โดยวิธีเปรียบเทียบค่า CTR ง่าย ๆ ว่าดีหรือไม่ดี คือ เปรียบเทียบกับแคมเปญก่อนหน้า หรือเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์ม
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Click-Through Rate (CTR) จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนคลิกทั้งหมดของคอนเทนต์ [200] ครั้ง
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของคอนเทนต์ [10,000] ครั้ง
- จำนวนคลิกทั้งหมดของคอนเทนต์ [200] ครั้ง
- จำนวน Impression หรือ View ทั้งหมดของคอนเทนต์ [10,000] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
7. Amplification Rate
ใช้คำนวณว่าคอนเทนต์ของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย เช่น บน Facebook ได้รับความสนใจจากผู้ติดตามมากน้อยเพียงใด โดยจะวัดจากจำนวนแชร์ของคอนเทนต์เป็นหลัก
โดยค่า Amplification Rate ยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ติดตามช่วยกระจายคอนเทนต์ให้แบรนด์
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Amplification Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนแชร์ทั้งหมดของคอนเทนต์ [500] ครั้ง
- จำนวนผู้ติดตามทั้งหมดของแบรนด์ [20,000] คน
- จำนวนแชร์ทั้งหมดของคอนเทนต์ [500] ครั้ง
- จำนวนผู้ติดตามทั้งหมดของแบรนด์ [20,000] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
8. Video Completion Rate (VCR)
ใช้คำนวณว่าคลิปวิดีโอของแบรนด์มีความน่าสนใจ จนมีผู้รับชมจนจบมากน้อยเพียงใด ช่วยให้แบรนด์สามารถนำข้อมูลนี้ไปวางแผนทำคอนเทนต์ประเภทคลิปวิดีโอตัวอื่น ๆ ได้
โดยค่า VCR ยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า วิดีโอของแบรนด์มีความน่าสนใจ จึงทำให้ผู้ชมรับชมจนจบ
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Video Completion Rate (VCR) จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนคนดูคลิปวิดีโอจนจบ [100] คน
- จำนวนคนดูคลิปวิดีโอทั้งหมด [1,000] คน
- จำนวนคนดูคลิปวิดีโอจนจบ [100] คน
- จำนวนคนดูคลิปวิดีโอทั้งหมด [1,000] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
9. Conversion Rate
ใช้คำนวณว่า แบรนด์สามารถเปลี่ยน “กลุ่มเป้าหมาย” ให้กลายเป็น “ลูกค้า” ได้มากน้อยเพียงใด
ซึ่งคำว่า Conversion หมายถึง การกระทำของลูกค้าที่แบรนด์ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียนแสดงความสนใจ หรือการจองคิวในระบบ
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Conversion Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวน Conversion ทั้งหมดที่ได้รับ [500] คน
- จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด [1,500] ครั้ง
- จำนวน Conversion ทั้งหมดที่ได้รับ [500] คน
- จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด [1,500] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
10. Cost Per Click (CPC)
ใช้ในการคำนวณหาต้นทุนในการโฆษณาของแบรนด์ เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายคลิกลิงก์ที่แบรนด์ต้องการ โดยจะคำนวณเป็น “ต้นทุนต่อ 1 คลิก”
ซึ่งตัวชี้วัดนี้ ยิ่งมีค่าต่ำก็ยิ่งดี เพราะหมายถึง แบรนด์สามารถใช้เงินน้อย เพื่อสร้างคลิกได้มาก
ทั้งนี้ ค่า CPC ควรเป็นเท่าไรนั้น ไม่มีเกณฑ์ตายตัว แต่สามารถเปรียบเทียบได้กับ CPC ของแคมเปญก่อนหน้า เพื่อดูว่า คุ้มค่ามากขึ้นหรือลดลง
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Cost Per Click (CPC) จากข้อมูลดังนี้
- ต้นทุนในการโฆษณา [10,000] บาท
- จำนวนคลิกทั้งหมดของโฆษณา [2,500] ครั้ง
- ต้นทุนในการโฆษณา [10,000] บาท
- จำนวนคลิกทั้งหมดของโฆษณา [2,500] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
11. Cost Per Conversion
ใช้ในการคำนวณ ต้นทุนของแบรนด์เพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้า 1 คน
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Cost Per Conversion จากข้อมูลดังนี้
- ต้นทุนในการโฆษณา [10,000] บาท
- จำนวนลูกค้าใหม่ที่ได้มา [100] คน
- ต้นทุนในการโฆษณา [10,000] บาท
- จำนวนลูกค้าใหม่ที่ได้มา [100] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
12. Return on Advertising Spend (ROAS)
ใช้ในการคำนวณ ผลตอบแทนจากการโฆษณาว่า โฆษณาที่แบรนด์ลงทุนไปนั้น คุ้มค่าหรือไม่
โดยที่ ROAS ที่ได้ออกมา จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
- หาก ROAS ที่ได้มากกว่า 100%
แสดงว่า ธุรกิจสร้างรายได้จากการโฆษณาได้ “มากกว่า” ค่าใช้จ่ายที่เสียไป
แสดงว่า ธุรกิจสร้างรายได้จากการโฆษณาได้ “มากกว่า” ค่าใช้จ่ายที่เสียไป
- หาก ROAS ที่ได้น้อยกว่า 100%
แสดงว่า ธุรกิจสร้างรายได้จากการโฆษณาได้ “น้อยกว่า” ค่าใช้จ่ายที่เสียไป
แสดงว่า ธุรกิจสร้างรายได้จากการโฆษณาได้ “น้อยกว่า” ค่าใช้จ่ายที่เสียไป
ส่วนตัวเลขที่ออกมานั้น อาจบอกไม่ได้ตรง ๆ ว่า มากหรือน้อย
แต่จะบอกได้เมื่อมีการเอาไปเปรียบเทียบกับโฆษณาอื่น ๆ ที่เราเคยทำมา หรือโฆษณาที่ใกล้เคียงกัน
แต่จะบอกได้เมื่อมีการเอาไปเปรียบเทียบกับโฆษณาอื่น ๆ ที่เราเคยทำมา หรือโฆษณาที่ใกล้เคียงกัน
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Return on Advertising Spend (ROAS) จากข้อมูลดังนี้
- รายได้ที่ได้รับจากการโฆษณา [25,000] บาท
- ต้นทุนในการโฆษณา [5,000] บาท
- รายได้ที่ได้รับจากการโฆษณา [25,000] บาท
- ต้นทุนในการโฆษณา [5,000] บาท
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
13. Customer Lifetime Value (CLTV)
ใช้ในการคำนวณมูลค่าที่ลูกค้า 1 คน สร้างให้กับแบรนด์ ตลอดระยะเวลาการเป็นลูกค้าที่แบรนด์กำหนดขึ้น
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Customer Lifetime Value (CLTV) จากข้อมูลดังนี้
- มูลค่าเฉลี่ยต่อการสั่งซื้อสินค้า 1 ครั้ง [570] บาท
- จำนวนครั้งที่ซื้อสินค้าโดยเฉลี่ย [5] ครั้ง
- ระยะเวลาเฉลี่ยของการเป็นลูกค้า [5] ปี
- มูลค่าเฉลี่ยต่อการสั่งซื้อสินค้า 1 ครั้ง [570] บาท
- จำนวนครั้งที่ซื้อสินค้าโดยเฉลี่ย [5] ครั้ง
- ระยะเวลาเฉลี่ยของการเป็นลูกค้า [5] ปี
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
14. Cart Abandonment Rate
ใช้ในการคำนวณ สัดส่วนของลูกค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่กดเพิ่มสินค้าใส่ลงในตะกร้า แต่กลับไม่ได้ซื้อสินค้านั้นจริง
โดยค่า Cart Abandonment Rate ยิ่งต่ำก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า แบรนด์สามารถปิดการขายมากขึ้น
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Cart Abandonment Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนสินค้าที่ถูกกดเพิ่มใส่ลงในตะกร้าทั้งหมด [70] ตะกร้า
- จำนวนสินค้าที่ถูกซื้อจริง [50] ตะกร้า
- จำนวนสินค้าที่ถูกกดเพิ่มใส่ลงในตะกร้าทั้งหมด [70] ตะกร้า
- จำนวนสินค้าที่ถูกซื้อจริง [50] ตะกร้า
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
15. Customer Retention Rate
ใช้ในการคำนวณว่า แบรนด์มีความสามารถในการรักษาลูกค้าเก่าไว้ได้มากน้อยเพียงใด ในช่วงกรอบเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ช่วงต้นไตรมาส 1 เทียบกับปลายไตรมาส 1, ช่วงปี 2566 เทียบกับปี 2567
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Customer Retention Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนลูกค้าเก่าที่มีในช่วงต้นกรอบเวลา [150] คน
- จำนวนลูกค้าใหม่ที่หาได้ [50] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มีในช่วงปลายกรอบเวลา [120] คน
- จำนวนลูกค้าเก่าที่มีในช่วงต้นกรอบเวลา [150] คน
- จำนวนลูกค้าใหม่ที่หาได้ [50] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มีในช่วงปลายกรอบเวลา [120] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
16. Repeat Purchase Rate
ใช้ในการคำนวณ อัตราการซื้อสินค้าซ้ำของลูกค้า เมื่อเทียบกับจำนวนลูกค้าทั้งหมดของแบรนด์ ซึ่งตัวเลขนี้ ยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่า ธุรกิจของเราทำให้ลูกค้าประทับใจจนกลับมาซื้อซ้ำ ๆ
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Repeat Purchase Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
- จำนวนลูกค้าที่ซื้อสินค้าซ้ำ [1,200] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
- จำนวนลูกค้าที่ซื้อสินค้าซ้ำ [1,200] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
17. Customer Churn Rate
ใช้ในการคำนวณ อัตราการสูญเสียลูกค้าเก่าของแบรนด์ ในช่วงกรอบเวลาที่แบรนด์กำหนดขึ้น ซึ่งยิ่งคำนวณออกมาได้ค่าน้อย แสดงว่าแบรนด์สามารถรักษาลูกค้าเก่าได้ดี
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Customer Churn Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนลูกค้าที่เสียไป [150] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
- จำนวนลูกค้าที่เสียไป [150] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
18. Customer Referral Rate
ใช้ในการคำนวณว่า ลูกค้าเก่าแนะนำ บอกต่อสินค้า หรือบริการของแบรนด์ มากน้อยเพียงใด
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Customer Referral Rate จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนลูกค้าที่แนะนำ หรือบอกต่อสินค้า [250] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
- จำนวนลูกค้าที่แนะนำ หรือบอกต่อสินค้า [250] คน
- จำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มี [1,500] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ และคำนวณผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
19. Average Review Rating
ใช้ในการคำนวณ คะแนนเฉลี่ยจากการรีวิวสินค้า หรือบริการของลูกค้า บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อทำให้แบรนด์รู้ว่าควรปรับปรุงสินค้า หรือบริการอย่างไร เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่คะแนนมักเป็นตัวเลข 1-5 คะแนน
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Average Review Rating จากข้อมูลดังนี้
- คะแนนจากการรีวิวสินค้าทั้งหมดรวมกัน [209] คะแนน
- จำนวนครั้งที่ลูกค้ารีวิวสินค้าทั้งหมด [56] ครั้ง
- คะแนนจากการรีวิวสินค้าทั้งหมดรวมกัน [209] คะแนน
- จำนวนครั้งที่ลูกค้ารีวิวสินค้าทั้งหมด [56] ครั้ง
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
____________________
20. Net Promoter Score (NPS)
เป็นตัวชี้วัดความพึงพอใจและความภักดี ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ ด้วยการดูแนวโน้มว่า ลูกค้าอยากแนะนำสินค้า หรือบริการของแบรนด์ ให้คนอื่นรู้จักหรือไม่
ผ่านการตอบคำถามง่าย ๆ เพียงข้อเดียว คือ “คุณจะแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการ ให้เพื่อนหรือคนใกล้ตัวหรือไม่” แล้วให้ลูกค้าตอบคำถามผ่านการให้คะแนนตั้งแต่ 0-10 คะแนน
จากนั้นก็นำข้อมูลที่ได้ไปจัดกลุ่มลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- ลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ (Promoters) คือ ลูกค้าที่ให้คะแนน 9-10 คะแนน
- ลูกค้าทั่วไป (Passives) คือ ลูกค้าที่ให้คะแนน 7-8 คะแนน
- ลูกค้าที่ไม่พึงพอใจ (Detractors) คือ ลูกค้าที่ให้คะแนน 0-6 คะแนน
- ลูกค้าทั่วไป (Passives) คือ ลูกค้าที่ให้คะแนน 7-8 คะแนน
- ลูกค้าที่ไม่พึงพอใจ (Detractors) คือ ลูกค้าที่ให้คะแนน 0-6 คะแนน
แล้วนำจำนวนลูกค้าในแต่ละกลุ่มมาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ เพื่อนำมาใช้กับสูตรในการคำนวณ NPS
คำสั่งที่ใช้คำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
*หมายเหตุ : เครื่องหมาย [ ] หมายถึง ปรับเปลี่ยนตัวเลขที่ต้องคำนวณ
คำนวณ Net Promoter Score (NPS) จากข้อมูลดังนี้
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด [100] คน
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็น Promoters [70] คน
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็น Detractors [30] คน
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด [100] คน
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็น Promoters [70] คน
- จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็น Detractors [30] คน
ช่วยแสดงสูตรคำนวณ เพื่อประกอบผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจน