
สรุปวิธีปักหมุด เปิดร้าน และไอเดียการตลาดบน Google Maps เราทำอะไรได้บ้าง
9 ส.ค. 2025
ถึงแม้ปัจจุบัน ผู้คนจะนิยมเซิร์ชหาข้อมูลผ่านหลาย ๆ แพลตฟอร์มกันมากขึ้น เช่น TikTok, Lemon8 หรือ ChatGPT แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การค้นหาข้อมูลผ่าน Google ก็ยังเป็นตัวเลือกสำคัญไม่แพ้กัน
เพราะคนส่วนใหญ่ก็ต้องเซิร์ชเพื่อหาข้อมูล ดูรีวิว หรือหาเส้นทางไปหน้าร้านผ่าน Google Maps อยู่ดี
ดังนั้น คนที่ทำธุรกิจท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร คาเฟ โรงแรม โฮมสเตย์ ร้านนวดแผนไทย คลินิก หรือธุรกิจที่มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ก็ยังควรให้ความสำคัญกับการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Google อยู่ดี
โดยวิธีหนึ่งที่ทำได้ก็คือ การสร้างบัญชี Google My Business และปักหมุดโลเคชันร้านและธุรกิจ ลงบน Google Maps นั่นเอง
แล้วเราจะปักหมุดโลเคชันร้านหรือธุรกิจของเรา บน Google Maps ได้อย่างไร ?
รวมถึง Google Maps ยังทำการตลาดอะไรได้อีกบ้าง ?
รวมถึง Google Maps ยังทำการตลาดอะไรได้อีกบ้าง ?
________________
(1)
- วิธีการปักหมุดร้านหรือธุรกิจของเรา บน Google Maps
การที่เราจะปักหมุดร้านหรือธุรกิจบน Google Maps ได้ อันดับแรกต้องเริ่มจากสมัครบัญชี Google Business Profile ก่อน
โดยขั้นตอนการเปิดบัญชี ได้แก่

1. เข้าเว็บไซต์ Google แล้วเลือก Google Apps ด้านมุมบนขวาข้าง ๆ รูปโปรไฟล์ Google Account
2. คลิกเลือก Google Business Profile
3. คลิกปุ่ม “จัดการเลย”

4. กรอกชื่อธุรกิจและหมวดหมู่ธุรกิจ
ซึ่ง Google แนะนำว่า ควรป้อนชื่อธุรกิจให้ตรงตามที่ปรากฏบนป้ายธุรกิจ หรือเป็นชื่อที่ใช้ในการสร้าง Branding ในโลกจริง
ส่วนเรื่องการเพิ่มหมวดหมู่ธุรกิจ
ทาง Google แนะนำว่า ควรเลือกที่ตรงหรือเจาะจงไปถึงสิ่งที่ธุรกิจกำลังทำมากที่สุด โดยเราสามารถเลือกได้ไม่เกิน 9 หมวดหมู่ แต่หมวดหมู่แรกที่เลือกจะเป็นหมวดหมู่หลัก
ทาง Google แนะนำว่า ควรเลือกที่ตรงหรือเจาะจงไปถึงสิ่งที่ธุรกิจกำลังทำมากที่สุด โดยเราสามารถเลือกได้ไม่เกิน 9 หมวดหมู่ แต่หมวดหมู่แรกที่เลือกจะเป็นหมวดหมู่หลัก
แต่หากแบรนด์ไม่แน่ใจว่าจะเลือกหมวดหมู่ไหนดี ให้เลือกหมวดหมู่ที่เป็นกลาง ๆ ไว้ก่อน
5. เพิ่มสถานที่ให้ลูกค้าเยี่ยมชม เช่น ร้านค้าหรือสำนักงาน

6. กรอกที่อยู่ของธุรกิจ
7. ปักหมุดโลเคชันลงบน Google Maps
8. กรอกข้อมูลบริการจัดส่งถึงบ้านหรือสำนักงาน และพื้นที่ให้บริการ
เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องออกไปจัดส่ง หรือออกไปให้บริการลูกค้า จะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่า แบรนด์หรือธุรกิจของเราให้บริการถึงพื้นที่ใดบ้าง
เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องออกไปจัดส่ง หรือออกไปให้บริการลูกค้า จะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่า แบรนด์หรือธุรกิจของเราให้บริการถึงพื้นที่ใดบ้าง

9. กรอกข้อมูลติดต่อ (เบอร์โทรศัพท์และเว็บไซต์)
10. กรอกหมายเลขโทรศัพท์ของธุรกิจเพื่อยืนยัน
11. เพิ่มบริการของธุรกิจ
12. เพิ่มเวลาเปิด-ปิดทำการ

13. เพิ่มคำอธิบายธุรกิจ
การเขียนถึงคำอธิบายธุรกิจแบบสั้น ๆ โดยข้อมูลที่ควรใส่ เช่น แบรนด์ทำอะไร นำเสนออะไรให้ลูกค้า ช่วยอะไรลูกค้าได้บ้าง รวมถึงระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
ส่วนคำอธิบายที่ควรหลีกเลี่ยง
- ไม่ควรใส่ URL ในคำอธิบาย
- ไม่ควรใส่ข้อความเกิน 750 ตัวอักษร
- ไม่ควรใส่ URL ในคำอธิบาย
- ไม่ควรใส่ข้อความเกิน 750 ตัวอักษร
ตัวอย่างคำอธิบาย ร้านไอศกรีม ที่ Google แนะนำ
“เราเป็นร้านไอศกรีมอิสระที่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองเพียงไม่กี่ก้าว และภูมิใจที่ได้เป็นสถานที่ที่คนในพื้นที่ชอบมาพบปะเพื่อนฝูง ไม่ว่าจะมาทานไอศกรีมหรือโทรสั่งพิซซาอบใหม่ที่ส่งตรงถึงบ้าน
เรามีไอศกรีมและซอร์เบต์โฮมเมด 35 รสชาติที่เราปั่นเองไว้ให้บริการตลอดทั้งปี และยังมีเตาอบพิซซาที่อบพิซซาสไตล์นิวยอร์กทุกวันตั้งแต่เที่ยงวันจนปิดร้าน แวะมาที่ร้านเราได้วันนี้เลย”

14. เพิ่มรูปภาพของธุรกิจ (สินค้า, บริการ, บรรยากาศภายในร้าน)
ในกรณีนี้ MarketThink ได้ทดลองเลือกหมวดหมู่ธุรกิจเป็น “ร้านอาหาร” ซึ่งรูปภาพของธุรกิจที่สามารถใส่ได้ ได้แก่
- รูปภาพรายการอาหาร ที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ หรือตัดสินใจว่าจะมาทานที่ร้านหรือไม่
- รูปภาพอาหาร จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาทาน ซึ่ง Google แนะนำว่า ภาพอาหารที่มีแสงธรรมชาติอ่อน ๆ จะช่วยให้อาหารดูน่ารับประทานที่สุด
หมายเหตุ : ขั้นตอนบางอย่างในการสมัครอาจกดข้ามได้ และเข้ามาจัดการเพิ่มข้อมูลหรือเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง

หลังจากเรากรอกข้อมูลทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ธุรกิจของเราจะยังไม่ขึ้นบน Google Maps ในทันที เพราะเราจะต้องทำการยืนยันธุรกิจก่อน
โดยมีวิธีการยืนยันธุรกิจ 5 แบบ ได้แก่
- ยืนยันด้วยภาพบันทึกวิดีโอ
- โทรศัพท์ หรือข้อความ SMS
- อีเมล
- วิดีโอคอลแบบสด
- ทางจดหมาย
- ยืนยันด้วยภาพบันทึกวิดีโอ
- โทรศัพท์ หรือข้อความ SMS
- อีเมล
- วิดีโอคอลแบบสด
- ทางจดหมาย
ซึ่งการยืนยัน จะใช้ระยะเวลาสูงสุด 5 วันทำการ
และเมื่อธุรกิจของเราได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีอีเมลยืนยันอีกรอบหนึ่งด้วย
และเมื่อธุรกิจของเราได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีอีเมลยืนยันอีกรอบหนึ่งด้วย

________________
(2)

- ทำไมถึงต้องทำการตลาดบน Google Maps ด้วย ?
1. ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสได้ลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ Local
ตัวอย่างเช่น ถ้าร้านตัดผมของเรามีบริการในวันพุธ ซึ่งเป็นวันที่ร้านตัดผมอื่นส่วนใหญ่ปิดทำการ ก็สามารถใส่ข้อมูลวันเปิด-ปิดทำการว่า ให้บริการในวันพุธได้เช่นกัน
แล้วถ้ามีลูกค้าเซิร์ชว่า “ร้านตัดผม เปิดวันนี้” (ซึ่งเป็นวันพุธ) ก็จะมีโอกาสที่ร้านของเราจะถูกแสดงบนหน้าการค้นหามากขึ้น ช่วยเพิ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่สะดวกเข้ามาตัดผมในวันพุธได้แบบง่าย ๆ
2. ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในละแวกใกล้เคียง
ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ว่า ในละแวกใกล้เคียงที่ตัวเองอยู่ มีธุรกิจอะไรอยู่บ้าง ซึ่งการทำการตลาดผ่าน Google Maps จะช่วยให้ลูกค้าเจอธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างเช่น
ถ้าร้านนวดเล็ก ๆ ปักตำแหน่งร้านของตัวเองบน Google Maps แล้วมีคนในละแวกนั้นเซิร์ชว่า “ร้านนวดใกล้ฉัน”
Google ก็จะค้นหาข้อมูลธุรกิจร้านนวดในละแวกใกล้เคียงมาให้โดยทันที ทำให้ร้านนวดของเรามีโอกาสถูกเจอมากขึ้น และได้ลูกค้าในละแวกใกล้เคียงมากขึ้นตามไปด้วย
3. ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือผ่านการรีวิวและ Rating บนโลกออนไลน์
ร้านค้าที่อยู่บน Google Maps จะมีรีวิวของคนที่มาใช้บริการ รวมถึง Rating หรือคะแนนความนิยมตั้งแต่ 1-5 ดาว อยู่ด้วย
ซึ่งทั้งรีวิวของคนอื่นและคะแนน Rating ต่างก็เป็นตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของร้านค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้ลูกค้าตัดสินใจมาซื้อหรือใช้บริการได้ดีขึ้น
4. ช่วยเพิ่มยอดขายผ่านทางการโทรและเพิ่ม Traffic ด้วยการพาลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์ได้
ร้านค้าที่มีโปรไฟล์บน Google สามารถเพิ่มเบอร์โทรศัพท์ติดต่อและลิงก์หน้าเว็บไซต์ของตัวเองได้ ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อสอบถามได้ในทันที และช่วยเพิ่ม Traffic ไปยังเว็บไซต์ของเราได้อีกด้วย
5. เป็นช่องทางโปรโมตโปรโมชันและอัปเดตข่าวสารใหม่ ๆ ได้
Google My Business มีฟีเชอร์การโพสต์คล้าย ๆ Facebook เพื่อโปรโมตหรือประชาสัมพันธ์ข่าวสารได้ เช่น
- โปรโมตโปรโมชันหรือข้อเสนอใหม่
- อิเวนต์ใหม่ ๆ ในร้านค้า
- เมนูใหม่
- การปิดปรับปรุงร้าน
- อิเวนต์ใหม่ ๆ ในร้านค้า
- เมนูใหม่
- การปิดปรับปรุงร้าน
6. วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
Google Maps ช่วยรวบรวมข้อมูลสำคัญ ๆ ได้ เช่น มีคนค้นเจอร้านของเราแล้วกี่ครั้ง, กดโทรหากี่คน, ขอเส้นทางกี่คน, ลูกค้าค้นหาร้านของเราเจอจากคำค้นหาอะไร
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์ให้ถูกใจลูกค้ามากขึ้นได้
________________
(3)

- กลยุทธ์ที่แบรนด์ควรใส่ใจ เมื่อทำการตลาดบน Google My Business
1. ชวนให้ลูกค้าเขียนรีวิว และให้คะแนน Rating ร้าน
อย่าลืมชวนให้ลูกค้ามาเขียนรีวิวและให้คะแนนธุรกิจกัน เพราะลูกค้าใหม่ที่เจอร้านค้าบน Google จะเชื่อในรีวิวและคะแนน Rating มากกว่าเชื่อคำโฆษณาของแบรนด์เอง
ซึ่งปรากฏการณ์ทางจิตวิทยานี้เรียกว่า Social Proof หรือการเชื่อคำรับรองของคนอื่นในสังคม
2. ใส่ข้อมูลธุรกิจให้ชัดเจน และอัปโหลดรูปภาพที่มีคุณภาพ
ข้อมูลธุรกิจที่ใส่ต้องถูกต้องและมีความชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าได้ข้อมูลอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ รูปภาพหรือวิดีโอที่อัปโหลดก็ควรเป็นรูปที่มีคุณภาพ มีความคมชัด ไม่เบลอ และเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ทำอยู่ จะทำให้ลูกค้าได้เห็นสินค้า บริการ บรรยากาศของร้านหรือสำนักงานอย่างชัดเจน
และยังเป็นการทำ Image SEO หรือการจัดอันดับการค้นหารูปภาพให้ติด Ranking อันดับต้น ๆ อีกด้วย
3. การทำ Local SEO เป็นสิ่งสำคัญ
Local SEO คือ การทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ ในแต่ละท้องถิ่นได้รับการจัดอันดับที่ดีบน Google ซึ่งจะช่วยให้คนในพื้นที่มองเห็นธุรกิจมากขึ้น และเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะกลายมาเป็นลูกค้าในอนาคตได้
แล้ว Local SEO ทำอย่างไร ?
การทำ Local SEO เบื้องต้น ทำได้โดยการเพิ่มคำอธิบายธุรกิจในหน้า Google My Business และทำคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดียในปริมาณที่เยอะและมีคุณภาพ
โดยมีคีย์เวิร์ดเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เช่น “คาเฟใกล้ฉัน” “คลินิกทันตกรรมเปิดวันอาทิตย์” “ร้านอาหารทองหล่อ” “โฮมสเตย์เกาะเกร็ด”
พอมีใครก็ตามเซิร์ชด้วยคีย์เวิร์ดเหล่านั้น เราก็จะมีโอกาสได้รับการมองเห็นเป็นอันดับต้น ๆ นั่นเอง
4. อัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอให้เหมือนกัน ทั้งช่องทางออฟไลน์และช่องทางออนไลน์
ถ้าธุรกิจมีการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ เช่น มีโปรโมชันใหม่ มีอิเวนต์ใหม่ มีการปิดปรับปรุงร้าน นอกจากจะอัปเดตผ่านช่องทางออฟไลน์และโซเชียลมีเดียแล้ว
อย่าลืมมาอัปเดตบน Google My Business ด้วย เพราะจะทำให้ลูกค้าที่เซิร์ชข้อมูลผ่าน Google รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นปัจจุบัน และช่วยเพิ่มยอดขายได้เช่นกัน
5. วิเคราะห์ข้อมูลอินไซต์อย่างสม่ำเสมอ
ข้อมูลอินไซต์ในหน้า Dashboard หลาย ๆ อย่างมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
- จำนวนการโทรหาธุรกิจ
- จำนวนการจอง
- จำนวนการขอเส้นทาง
- จำนวนครั้งในการดูผ่านการเซิร์ชและการค้นหาบน Google Maps
- ข้อมูลรีวิว จำนวนการมองเห็นรีวิว และคะแนน Rating
- จำนวนการจอง
- จำนวนการขอเส้นทาง
- จำนวนครั้งในการดูผ่านการเซิร์ชและการค้นหาบน Google Maps
- ข้อมูลรีวิว จำนวนการมองเห็นรีวิว และคะแนน Rating
ข้อมูลเหล่านี้บอกเราได้ว่า ลูกค้าให้ความสนใจอะไร เราควรเพิ่มข้อมูลอะไร และจัดโปรโมชันอะไรเพิ่มเติม